Article > Article
การฝึกขับรถบนถนน โดยอาจารย์อั๋น (หาของเก่าไม่เจอ)
thor111:
การฝึกในสมอง
คนที่อาจจะคุ้นกับการทำงานของสมองของคนเราอาจจะพอรู้มาบ้าง ว่า หลังจากเวลาเราหัดทำอะไรซักอย่าง สมองของเราก็จะเริ่มสร้างความสามารถนั้น และ ค่อยๆพัฒนาสมองส่วนนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการพัฒนา ไม่ได้จำกัด อยู่แค่เฉพาะเวลาเราทำ แต่จะพัฒนาต่อเนื่อง เวลาที่เราคิดถึงเรื่องนั้น หรือ แม้แต่ตอนที่เรานอนหลับด้วย
จากเรื่องของสมอง ก็ มาถึงเรื่องของกีฬาทั่วๆไป ซึ่ง จริงๆแล้ว ก็รวมไปถึงการฝึกขับรถด้วย คือการที่เราเก็บอะไรกับมาคิด พร้อมกับนึกภาพตาม ทำให้สมองของเราพัฒนาตามไปด้วย
วิธีการฝึก ก็คือ ให้เราพยายามคิดภาพ โดยละเอียด ของการทำอะไรบางอย่างที่เราต้องการฝึก คิดไปเรื่อยๆ วันละสิบนาที สิบห้านาที แล้วพอไปทำจริงๆ ทุกอย่างมันจะออกมาดีเอง
ตัวอย่างจริง ดูได้จากอาจารย์อั๋น ถ้าใครได้ไปแทรคเดย์ที่นครชัยศรีมาก็คงเห็น ผมว่า วันนั้นพี่อั๋นขับดีนะ ไม่ได้นั่ง แต่ดูอยู่ข้างนอกรถ ดีขึ้นกว่าเดิม และ ไม่ค่อยพลาดเลย ผมว่า ที่พี่อั๋นขับได้ดีทั้งๆที่ไม่ได้ไปซ้อมวิ่งสนามบ่อยๆ น่าจะเป็นเพราะทำการบ้านมาดีมากๆ ครั้งที่แล้วที่ไปนครชัยศรีกัน ตอนนั้นไปช่วยอาจารย์นิชิ สอน โดยที่ผม ถ่ายวีดีโอทั้งนิชิ พี่อั๋น และ ผมเอง ขับรถผม อัดใส่ดีวีดี
ตัวผมเอง ทำวีดีโอเสร็จ ดูไปก็น่าจะหลายรอบ อาจจะสี่ห้ารอบมั้ง รวมกับดูรายละเอียด แบ่งเซ็กเตอร์ต่างๆของแต่ละคน จนสรุปออกมา ว่าแต่ละจุด ใครเร็วกว่าใคร ทำสรุปออกมาเป็นไฟล์เอ็กเซล แจกแจงเหตุผล ว่าใครเร็วตรงไหน เพราะอะไร จบแล้ว ก็จบกันไป ส่งดีวีดีให้ผู้เกี่ยวข้อง หรือใครที่อยากได้ พร้อมกับไฟล์เอ็กเซลที่ทำสรุปเอาไว้ งานผมก็จบไป ไม่ได้กลับมาดูอีกแล้ว
ส่วนพี่อั๋น ได้ดีวีดีจากผมไป ดูแล้วดูอีก คิดแล้วคิดอีก ผมไม่รู้ว่ากี่รอบ แต่ผมว่าเยอะมากๆ คงต้องให้พี่อั๋นมาบอกเอง แต่ผมเดาว่า อาจจะห้าสิบรอบได้มั้ง ดูแล้วคิด ดูแล้วคิด
จะเห็นได้ว่า จุดประสงค์ของผม กับ พี่อั๋น ค่อนข้างต่างกัน ผมดูวีดีโอ เพื่อจะหาคำตอบ ว่า ตรงไหน ใครเร็ว เพราะว่าอะไร ส่วนพี่อั๋น เป็นการดูเพื่อพัฒนาจินตนาการในสมอง จริงๆแล้ว จะว่าผมไม่พัฒนาสมอง ก็ไม่เชิง แต่ผมจะพัฒนาในเชิงที่ว่า ดูในวีดีโอแล้วจะรู้ทันที ว่าเร็วเพราะอะไร ช้าเพราะอะไร ส่วนพี่อั๋น จะพัฒนาไปในเชิงของการขับมากกว่า
จริงๆผมก็รู้นะ ว่าควรจะดูวีดีโอมากกว่านี้ แต่ว่า กว่าจะทำข้อมูลเสร็จ มันก็เอียนแล้ว เลยไม่ได้ดูมากเท่าที่ควร
เรื่องของการใช้จินตนาการเข้ามาช่วยในการฝึก สามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้กับอะไรก็ได้ ยิ่งถ้าเราจินตนาการได้ละเอียดมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้ผลมากขึ้น
เช่น ถ้าเราตั้งใจจะฝึกเรื่องเบรค เราก็ลองจินตนาการถึงเสียงเครื่อง แรงจี น้ำหนักเท้า เสียงยาง ภาพที่ตาเราเห็น ฯลฯ
ผมเคยอ่านมา มีนักแข่งบางคน เวลาเลี้ยวในทางที่มองไม่เห็นเพราะมีกำแพงบัง ในขณะที่กำลังเลี้ยว เค้ามองเข้ากำแพงเลย ว่ากันว่า สมองเค้ากำลังจินตนาการถึงรูปแบบของโค้งทะลุกำแพงไป แล้วคำนวนว่าจะต้องขับยังไงให้ออกจากโค้งได้ดี
เรื่องของจินตนาการ มันมีความสำคัญมากกว่าที่ผมเคยคิด เรื่องนี้ ก็เอาไปใช้ได้กับอะไรหลายๆอย่างในชีวิตนะ ถ้าเราคิดถึงมันอย่างจริงๆจังๆ วันนึง มันอาจจะเป็นจริงขึ้นมาได้จริงๆ
ไอ้การขับรถแข่งเนี่ย ใครๆก็ทราบครับ ว่า จะเร็ว จะช้า อยู่ที่การฝึกซ้อม ยิ่งซ้อมเยอะ ยิ่งดี แต่ที่สำคัญคือ การฝึกซ้อมที่ถูกวิธี
เมื่อก่อนเราเคยอ่านเจอคำว่า practice makes perfect แต่สำหรับผม มันอาจจะไม่ใช่ครับ ผมยึดคำว่า
PRACTICE DOESN'T MAKE PERFECT, ONLY PERFECT PRACTICE MAKES PERFECT!!!
อย่างในกรณีที่ก้องพูดถึงคือ ผมได้ดูและทบทวนการขับจากดีวีดี ไม่ว่าจะเป็นที่อาจารย์มาซากิขับ หรือ ตัวผมขับ หรือก้องขับก็ตาม
ผมเอามาประมวลผล ดูว่า ใครพลาดตรงไหน พลาดเพราะอะไร แล้วทำยังไง ถึงจะแก้ไขสิ่งที่พลาดไม่ให้เกิดขึ้นอีก
จากที่ผมได้ดู อาจารย์มาซากิ แทบจะไม่พลาดเลย ส่วนที่ผมขับเอาไว้ พลาดเต็มๆหลายโค้ง จริงๆแล้วคือ แทบจะทุกๆโค้ง ที่ละนิดละหน่อย
ทำให้เวลาที่ผมทำได้ ห่างจากอาจารย์ 0.5 วิเต็มๆ! ไอ้0.5 วิเนี่ย ไม่ใช่ว่าฟังแล้วบอกว่า แหม นิดเดียวเอง ไม่ใช่นะครับ
การขับแบบจิมคาน่า หรือ time attack แบบนั้น จะ0.5 0.4 หรือ 0.001 ก็คือแพ้ครับ ไม่มีรอบให้เอาคืนแบบเซอร์กิต หรือการแข่งแบบอื่นๆ
เพราะฉะนั้น ผมต้องศึกษาอย่างละเอียด ว่า ทำไม รถคันเดียวกัน อาจารย์ขับ โดนมีผมนั่งไปด้วย(+75กิโล) ถึงทำได้เร็วกว่าผม ซึ่งไปคนเดียวถึง0.5 วิ
ผมถือว่า นั่นคือการบ้านของผมเลย แล้วการทำการบ้าน จริงๆแล้ว ที่ถูกต้องคือ ผมต้องไปซ้อมที่สนาม แต่โดยข้อเท็จจริงก็คือ ไม่ได้ไป แล้วจะทำยังไง?
วิธีที่ผมใช้ หลังจากประมวลความผิดพลาดของผมแล้ว ก็คือ การจินตนาการที่ก้องพูดถึงนี่หละ บ่อยครั้งหลังจากที่ผมดูจบ ผมก็มานั่งหลับตา นึกถึงภาพสนาม
นึกถึงเสียง นึกถึงแต่ละโค้งอย่างละเอียด ว่ามีอะไรบ้าง รวมไปถึง นึกถึงแรงจี แรงกระทำที่ถนน นึกเยอะไปหมด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มากสุด
แล้วผมก็นึกภาพว่ากำลังขับ จะแอทแทคแต่ละโค้งยังไง จากโค้งแรกไปโค้งต่อไป ผมต้องทำอะไรบ้าง อาการรถ อาการยางเป็นไงบ้าง
พูดง่ายๆว่า นอกเหนือไปจากดูแผ่นเยอะ ผมมานั่งจินตนาการไม่น้อยไปกว่าการดูครับ
แล้วถามต่ออีกหน่อย ว่า จินตนาการไปแล้วได้อะไร จะเหมือนไปซ้อมจริงๆรึเปล่า?
ต้องบอกว่า การจินตนาการ นอกจากทำให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนแล้ว ถ้าเราทำได้ดี ก็ไม่ต่างจากการที่ไปขับจริงๆมากนัก อันนี้ หลายๆท่านอาจจะงง
อาจจะไม่เข้าใจนะครับ ไว้ลองฝึกดู แล้วจะอ๋อแบบผม แต่สำหรับผม วิธีนี้ ดีที่สุด ในกรณีที่ไม่ได้ไปฝึกที่สนามจริง
กลับมาที่ วัน trackday หลังจากทั้งดูแผ่น ทั้งซ้อมในจินตนาการมานาน ผมก็ได้ลองเก็บรายละเอียดไอ้ที่พลาดๆไป
ผลลัพท์ คือ น่าพอใจมากกกกกกกกกกก เวลาที่ผมทำได้ แน่นอนว่าดีขึ้น แต่สิ่งที่ผมได้กลับมาคือ ผมแทบจะไม่พลาดเลย ทั้งๆที่ขับหลายคันแล้วแต่ละคัน อาการก็ไม่มีเหมือนกัน ไล่ไปตั้งแต่รถของชาย หน้าหมู STI 2.5 รถของเอิ๊ก EVO VII หน้าหมูขาวของทั่นประธาน และอีกหลายๆคันที่สอนไป
ไอ้การทำการบ้าน โดยการนึกภาพมาก่อน ทำให้ผมขับแต่ละคันได้เลย โดยไม่ต้องมาห่วงว่า โค้งไหนเป็นยังไงอีกต่อไปแค่ปรับตัวให้เข้ากับรถแต่ละคันเท่านั้นก็พอ
thor111:
UNDERSTEER
คงไม่ต้องอธิบายกันมากนะครับ ว่าคืออะไร อาการนี้เกิดขึ้นได้จากหลายๆสาเหตุด้วยกันครับ โดยเฉพาะ ซูบารุของเราๆท่านๆนี่หละ
รถที่มีอาการอันเดอร์เป็นพื้นฐาน ก็คือ รถบ้านๆที่มาจากโรงงาน เช่นรถขับหน้าทั่วไป รถขับ 4 ก็เป็นบ่อย สืบเนื่องมาจากการวางน้ำหนักส่วนใหญ่ไว้ด้านหน้ารถ
ลองนึกภาพตามนะครับรถสองแบบที่ว่า รถขับหน้า วางเครื่องไว้ข้างหน้า ข้างหลังไม่มีอะไรเลย น้ำหนักเฉลี่ยหน้าหลัง แตกต่างกันค่อนข้างเยอะ
เวลาเลี้ยว หรือเข้าโค้ง น้ำหนักจะถูกถ่ายมาด้านหน้า จากที่หน้าหนักอยู่แล้ว ก็จะหนักมากกว่าเดิมอีก
ขับ 4 ก็ไม่เว้นเช่นเดียวกันครับ ถึงแม้ว่าจะมีอุปกรณ์การขับเคลื่อนไปช่วยถ่วงอยู่ด้านหลังบ้างแล้ว แต่ยังไงก็ยังออกอาการอันเดอร์ให้พบบ่อยๆ
แล้วทำไมทางผู้ผลิตถึงไม่ทำให้มันไม่อันเดอร์?? อันนี้ต้องอธิบายนิดนึงครับ ว่าอาการอันเดอร์ อย่างที่ผมเคยบอกไว้ในหน้าแรกๆ ว่าเป็นอาการที่เป็นพบได้ง่าย
และแก้ไขง่ายที่สุด กล่าวคือ แก้ตามสาเหตุของการอาการ ดังที่ผมจะบอกในท่อนต่อไป สรุปว่าเค้าทำมาเพื่อไม่ให้ลูกค้า ซื้อไปแล้วไปเจออาการโอเวอร์เสตียร์
ซึ่งแก้ไขได้ยากกว่า ต้องใช้ทักษะมากกว่านั่นเอง
เอาละฮะ เข้าเรื่องดีกว่า ก่อนจะพล่ามไปมากกว่านี้ เจ้าอาการอันเดอร์เนี่ย สาเหตุหลักๆของมัน ก็คือ การที่น้ำหนักจำนวนมากถูกถ่ายมายังด้านหน้ารถมายังล้อหน้า ซึ่งเป็นล้อที่ใช้สำหรับการบังคับทิศทางของรถ เพราะฉะนั้น เมื่อเราเบรค ยางคู่หน้าก็รับภาระในการเบรคไปส่วนนึงแล้ว
จะเหลือ traction (การยึดเกาะ) สำหรับเอาไว้เลี้ยวไม่มากนัก ถ้ามาด้วยความเร็วไม่มาก หรือ โค้งกว้างๆ ไม่ต้องหักเลี้ยวเยอะๆ ก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้ามาด้วยสปีดที่สูงเกินไป หรือ เบรคจนล้อล๊อค แล้วพยายามจะเลี้ยวด้วย อันนี้ก็คือ เลี้ยวไม่ได้แน่นอน เพราะยางเอง ใช้แทรคชั่นไปกับการเบรคจนหมดแล้ว
วิธีแก้ อันที่ง่าย และน่าโดนด่าที่สุดคือ อย่ามาแรงเกินไปซิครับ ฮ่าๆๆๆ ไม่ตลกนฮะ อันนี้เรื่องจริง คนส่วนใหญ่ มักจะคิดว่า ซูบารุขับ4 ยังไงมันต้องไปได้สิวะ!
ผมกำลังจะบอกว่า มันไปได้ครับ แต่ก็ไปได้แค่สุดแทรคชั่นของมันเท่านั้น ถ้าเกินกว่านั้น กระเด็น!
ผมจะแบ่งอาการอันเดอร์ออกเป็นสามแบบที่เข้าใจง่ายๆละกันนะครับ จะได้นึกภาพตามได้
1. อันเดอร์ช่วงเข้าโค้ง
แน่นอน อันนี้ ก็เป็นตามที่ผมบอกไว้ข้างบน คือ มาเร็วไป แรงไป หรือ ใช้เบรคมากเกินไป พอจะเริ่มเลี้ยว ก็ไม่เหลือแทรคชั่นให้ใช้เลี้ยวแล้ว
วิธีแก้ไข ก็บอกไปแล้วอีกว่า อย่ามาแรงหรือเร็วเกินไปดิ อ๊ะ ไม่ใช่วิธีเดียวครับ อีกวิธี ในกรณีที่เบรคจนล้อล๊อค หน้าแถจนยางหมดแทรคชั่นก็คือ
1.1 คลายเบรคออกเล็กน้อย เพื่อให้ยางเหลือแทรคชั่นเอาไว้เลี้ยวด้วยแล้วค่อยกดเบรคต่อ
1.2 คืนพวงมาลัย ถ้าเราเบรคทั้งๆที่ล้อยังเลี้ยวอยู่ ยังไงก็เลี้ยวได้ยาก หรือเลี้ยวไม่ได้ ก็คืนพวงมาลัยออกมาหน่อย แล้วค่อยเบรคเพิ่มเมื่อล้อตรงแล้ว หลังจากความเร็วลดลง
เราค่อยเลี้ยวเพิ่มครับ
2. อันเดอร์กลางโค้ง
อันนี้บางกรณี อาจต่อเนื่องมาจากอาการแรก คือ หน้าไถมาแต่ไกล ตั้งแต่เข้าโค้งมาเลย การแก้ก็บอกไปแล้วในข้อ 1 ครับกับอีกอย่างคือ เมื่อเลี้ยวได้แล้ว ดันรีบปล่อยเบรค หรือรีบเดินคันเร่งเร็วเกินไป ลองนึกภาพ(อีกแล้ว!) รถเราอยู่กลางโค้ง ปล่อยเบรคแรง น้ำหนักถ่ายกลับไปด้านหลัง-
อย่างรวดเร็ว ทำให้แทรคชั่นหาย หายนี่คือ หายจากด้านหน้า ไปอยู่ด้านหลังหมด พูดง่ายๆ หน้ายกเยอะ ทีนี้ก็ไม่มีแทรคชั่นมาช่วยเลี้ยวอีกละ มาดูวิธีแก้กันครับ
2.1 อย่ารีบปล่อยเบรค การที่เรารีบปล่อยเบรค เป็นการถ่ายน้ำหนักแบบทันทีทันใด ทำให้ล้อหน้าขาดแทรคชั่น เลี้ยวไม่ได้อีก การปล่อยเบรค ผมพูดไปแล้วในบทต้นๆ
ถ้างง ลองไปอ่านดูอีกครั้งนะครับ การปล่อยที่ดี คือ ปล่อยแล้ว ไม่มีการ shift หรือ jerk มากเกินไป ปล่อยเนียนๆ ให้น้ำหนัก และ แทรคชั่นอยู่กับยางนานอีกหน่อย
2.2 เดินคันเร่งเนียนๆ นี่ก็ต่อเนื่องมากจากข้อแรกครับ ถึงแม้เราคลายเบรคได้เนียนแล้ว แต่ถ้า เรารีบเดินคันเร่ง หรือกระแทกคันเร่งแรงเกินไป
ก็กลายเป็นการถ่ายน้ำหนักมากไปอีก แน่นอน อันเดอร์! ทำให้มันนุ่มนวล และรวดเร็วครับ
3. อันเดอร์ตอนออกโค้ง อ่า อันสุดท้าย ท้ายสุด อันนี้ชัดเจนเลย คือ การรีบเดินคันเร่ง ทั้งๆที่ล้อยังไม่ตรง ยังไม่เข้าไลน์ หรืออะไรก็ตามที่ทำให้แทรคชั่นหายไป
3.1 คืนพวงมาลัยให้ถูกจังหวะ ตอนออกโค้ง ถ้าเราไม่คลายพวงมาลัยตามแทรคชั่น แน่นอนว่าเราเดินคันเร่งได้ไม่เต็มแน่นอนไลน์ที่เราใช้ออกจากโค้ง แม้กระทั่งการรีบเดินคันเร่ง(ใจร้อน) หรือจุดที่มองผิด ก็ทำให้อาการอันเดอร์ตอนออกโค้งเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
สามกรณีนี้เป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้เสมอครับ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม อ่านแล้ว ลองเอาไปคิดดู ว่าเราเคยเจอแบบไหนมาบ้าง วิธีแก้ไขก็ตามที่ผมบอก
ไม่ได้ให้ไปลองบนถนนนะครับอันนี้ เอาเป็นว่า รู้ไว้ใช่ว่าดีกว่า ขอให้สนุกสนานกับการขับซูบารุคร๊าบบบ
***ข้อควรระวังอีกข้อ ที่มักเจอบ่อยๆนะครับ คือ ยิ่งอันเดอร์ คนจะยิ่งเลี้ยวมากขึ้น ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ผิดเลย ระวังด้วยนะครับ**
thor111:
ท่านั่งและการวางตำแหน่งเท้า
รถบ้าน ไม่ควรวางเท้าซ้ายคาไว้บนแป้นคลัทช์ ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง อย่างแรกก็ตามที่แบงก์ว่าไว้แล้ว คือน้ำหนักเท้าจะกดลงบนแป้น
ไม่ว่าเราตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม อีกอย่างที่คนมักมองข้าม ก็คือเรื่องของท่านั่งนี่หละ ที่ผมพูดถึงท่านั่งเพราะว่ามันมีความสำคัญ
ท่านั่งที่ถูกต้อง ทำให้ควบคุมรถได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการจับพวงมาลัย ระยะห่างของแขน ขา สำคัญหมด แต่รายละเอียด ผมว่าหลายๆท่านทราบ
และหลายๆท่านอาจจะยัง แต่ผมขอพูดถึงเฉพาะไอ้เจ้าเท้าซ้ายเรานี่หละ ว่าทำไมต้องอยู่บนพักเท้า
พูดถึงเบาะรถบ้านก่อนละกัน จะได้เข้าเรื่องได้ เบาะรถบ้านๆ ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้ออะไรก็ตาม เน้นความสบายเป็นหลัก เมื่อเน้นความสบายเป็นหลัก
ไอ้ความกระชับแบบเบาะแข่งก็ย่อมมีน้อย พอความกระชับมีน้อย ถ้าวิ่งตรงๆคงไม่มีอะไร แต่ถ้าต้องวิ่งผ่านโค้ง ไม่ว่าจะโค้งแคบ โค้งกว้าง รถย่อมมีแรงเหวี่ยง
แล้วเวลารถมีแรงเหวี่ยง ก็ตามที่บอกครับ รถบ้าน เบาะสบาย ไม่เน้นกระชับ พอโดนเหวี่ยงๆ โอกาสที่ตัวจะเลื่อน จะไถล สไลด์ไปข้างๆมีแน่นอน
ไอ้เจ้าเท้าขวาก็ต้องอยู่ที่คันเร่ง หรือเบรค ในเวลานั้นแน่นอน เหลือเท้าซ้ายเท่านั้นเองที่พอจะยันกับพักเท้าเอาไว้เป็นหลักได้ แต่เผอิญว่า เราดันเอาไปวางบนคลัทช์
ละจะเหลืออะไรมาเป็นหลักได้ละครับ? ที่ตั้มเห้นในวิดิโอ บ่อยครั้งที่นักแข่งคนนั้น นั่งบนเบาะแข่ง ก็อาจจะพอวางบนแป้นคลัทช์ได้ จะเพื่ออะไรก็แล้วแต่
แต่จริงๆก็ไม่ควรทำแบบนั้นอยู่ดี รถแข่งทางเรียบ ไม่ได้เปลี่ยนเกียร์กันบ่อยๆแบบแรลลี่ครับ ไม่จำเป็นต้องวางคาไว้ก็ได้
อ่ะ พูดถึงแรลลี่ต่ออีกหน่อย ไหนๆก็ว่ามาแล้ว นักแข่งแรลลี่ชั้นนำเอง ก็ไม่วางเท้าบนแป้นคลัทช์เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเกียร์แบบรุ่นใหม่ๆ ไม่ใช้คลัทช์หรือเป็นแบบใช้คลัทช์ปกติ แต่บางกรณีที่เค้าต้องวาง ก็ทำได้ เนื่องจากรถแรลลี่ ทุก SS ต้องมีการทำรถ ซ่อมรถกันตลอด ฉะนั้น ถ้าชุดคลัทช์เสียหายจากกรณีอื่นๆ
CaptaiN:
ใช้เวลาอ่านและทำความเข้าใจ เอ้อ 2วันกว่าจะจบ
ขอบคุณอาจารย์ อั๋น และ พี่ต่อที่มารีวิว์ให้คร๊าบบบบ
zeal:
อ่านจบแล้ว .. มีประโยชน์สุดๆ ขอบคุณครับ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version