Article > Article
การฝึกขับรถบนถนน โดยอาจารย์อั๋น (หาของเก่าไม่เจอ)
thor111:
ช่วงรอยต่อ ของเบรค กับ คันเร่ง
วิธีการ ก็น่าจะต่อเนื่องมาจาก การฝึกเบรค ตามที่ก้องโพสไว้ตั้งแต่แรก คือให้ความสำคัญของการคลายเบรคเท่าๆกับตอนเหยียบเบรค
แล้วค่อยๆเติมคันเร่งลงไป ให้คนนั่งไม่รู้สึก ว่าปล่อยเบรคออกมาเหยียบคันเร่งตอนไหน
มีวิธีที่นักแข่งรุ่นใหม่ๆใช้กันในสนาม หรือใช้กับรถแข่งที่ไม่ต้องพะวงเรื่องเหยียบคลัทช์มากนัก เช่นรถ Formula ต่างๆ
นั่นคือการใช้เท้าซ้ายเบรค (Left-foot braking) หรือ LFB จุดประสงค์จริงของการใช้วิธีนั้น ก็คือ การถ่ายน้ำหนักจากเบรคมาคันเร่งให้ไร้รอยต่อเช่นกัน
เพื่อความสมดุลย์(balance)ของตัวรถ เมื่ออยู่ในโค้ง
โดยส่วนตัว ผมเคยถามอาจารย์ว่าแกทำ LFB รึเปล่า แกบอกว่าไม่จำเป็น ทีแรก ผมก็คิดว่า สงสัยแกคงไม่ได้ฝึกมา เลยไม่ได้ทำ
แต่พอได้นั่งแกขับจริงๆ รู้เลยว่า ทำไมถึงใช้แค่เท้าขวา เพราะแกทำได้เนียนกว่าคนถนัด LFB หลายๆคนซะอีกแน่ะ
และในเมื่อเราไม่ได้หัดกันเพื่อไปเป็นนักแข่งแรลลี่ หรือนักแข่งรถสูตร ผมเลยมองว่า ใช้แค่เท้าขวานี่หละให้ชำนาญดีกว่า
thor111:
การฝึกเรื่องประสาทสัมผัส
ความสำคัญของความรู้สึกดังกล่าว ว่าการที่เราทำความคุ้นเคยกับอะไรนานๆ หรือบ่อยๆ มันจะส่งผ่านข้อมูลไปให้สมอง ความรู้สึกที่ผ่านมือไปก็เช่นกัน มันจะไปเก็บไว้ใน ดาต้าของเราเอง
เค้าเคยทำการสาธิตประเภทนี้ด้วยการให้อาสาสมัครมาแข่งกันถอดถุงเท้าผู้หญิงกัน ไม่ได้ทะลึ่งนะครับ กติกาคือ ต้องปิดตา ใส่ถุงมือหนาๆเป็นไปตามคาดครับ พอตัดประสาทสัมผัสทางตา(การมองเห็น) ทางมือ(การสัมผัส)ไป ก็ทุลักทุเลกันน่าดู คนที่ทำได้เร็วที่สุด กลายเป็นหมอฟันครับ เพราะเป็นอาชีพที่ต้องทำงานละเอียดๆด้วยการใส่ถุงมือเสมอๆ ทำให้เค้าพัฒนาสัมผัสด้านนั้นมาตลอดผู้เขียนบอกต่อว่า ถ้าเราลองใส่ถุงมือหนาๆ ขับรถซักพัก จนเริ่มจับอาการได้ แล้วลองเปลี่ยนมาใส่ถุงมือแข่งที่ให้ความรู้สึกได้ไวกว่า
จะทำให้ ประสามสัมผัสเราพัฒนาไปได้อีกระดับ นี่ผมก็ว่าจะเอาไปลองดูซะหน่อย โชคดีที่รถติดฟิล์ม ไม่งั้นคงดูแปลกๆรึเปล่าไม่รู้
เรื่องประสาทหู
ที่ก็ต้องนำมาประยุกต์ใช้ร่วมกับ ประสาทตา+มือ+เท้า+หลัง เพื่อนำมาประกอบเป็นดาต้าเก็บไว้ในสมอง เพื่อจะงัดมาสั่งการทีหลังปกติ เราใช้หูฟังเสียงอะไรกันบ้างเวลาขับรถ? ผมเดาว่า 80% คนขับอิม ไม่ค่อยเน้นเครื่องเสียงแน่ๆ ถ้าเป็นเครื่องรุ่นเก่าหน่อยก็คงจะชอบ Boxer sound
รุ่นใหม่ๆ เหยี่ยวหรือหมูขึ้นมา ก็คงจะฟังเสียงแผดแบบแว้ดๆของเฮดเดอร์รุ่นใหม่ๆ แต่ใครเคยสังเกตเสียงยางบ้าง?วิ่งบนถนนในเมือง รถติดๆ คงไม่ได้ยินแน่ๆ แต่ถ้าเป็นทางด่วนช่วงมืดๆ หรือทางต่างจังหวัดที่มีโค้งเยอะๆหน่อย ใครขับเร็วก็น่าจะได้ยินอยู่บ้าง
กลับมาเข้าเรื่อง Exercise นี้ดีกว่าครับ
จากการที่ ปกติ ระดับการได้ยินของเรานั้น เป็นตัวประเมินผลประกอบกับประสาทด้านอื่นๆตามที่เกริ่นไปแล้ว
เราจะทำการหรี่การใช้งานมันซะ แต่ต้องบอกก่อนนะครับว่า สถานที่ที่จะไปลองเล่น นอกจากในสนาม ก็คงต้องเลือกถนนที่รถน้อยๆเพราะประสาทหูที่เราจะหรี่มันลง อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ถ้าเราไม่ได้ยินเสียงแตรของเพื่อนร่วมทาง หรือเสียงอื่นๆ
วิธีการคือ หา Earplug หรือ อุปกรณ์ง่ายๆเช่น Headphone เครื่องเสียง หรือแม้กระทั่งกระดาษทิชชูก็ได้ เอามาอุดหูเราซะเวลาขับ
ทีนี้ พอหรี่วอลลุ่มหูเรียบร้อย เอาละสิ ลองสังเกตุกันดูครับว่า เราแทบจะไม่ได้ยินอะไรเท่าไหร่ คือปกติ เราไม่ค่อยสนใจจะฟังอะไรมาก
แต่พอปิดมันเข้าไป มันจะทำให้เราต้องเพ่งสมาธิไปที่การฟังมากขึ้น ลองขับดูซักพัก แล้วสังเกตตัวเองว่าได้ยินชัดขึ้นมั้ย หลังจากลองซักพัก ทีนี้เปิดวอลลุ่มหู เอาอุปกรณ์ต่างๆออก ผมแน่ใจว่า เสียงที่เคยได้ยินปกติ จากแผ่วๆ มันจะกลายเป็นเสียงที่ชัดเจน
แบบที่เราไม่เคยสังเกตมาก่อนแน่นอน ลองโฟกัสไปที่เสียงเครื่อง เสียงท่อ เสียงยาง ลองทำแล้วสังเกตดูหลายๆแบบ หลายๆเสียง
เหมือนกับการเปิดประสาทสัมผัสใหม่ๆให้กับตัวเราเอง รับรองว่าจะสนุกกับการขับไปฟังไปขึ้นอีกแน่ครับ
เรื่องการมอง
การมอง มีความสำคัญอันดับต้นๆ ไม่ว่าจะขับรถอะไร ขับที่ไหน ขับยังไงก็ตาม การมองที่ถูกต้อง ถูกวิธี ช่วยทำให้เราตัดสินใจในการขับได้อย่างแม่นยำ
ตรงกันข้าม ถ้ามองผิดๆ อาจทำให้เราอยู่ในสถานการณ์ลำบากได้โดยไม่รู้ตัว ยกตัวอย่าง ขับบนถนนไฮเวย์ ข้างหน้าเกิดมีอุบัติเหตุ รถใหญ่หมุนอยู่กลางถนน
คนส่วนใหญ่มักตกใจ มองไปที่จุดเกิดเหตุ แล้วเบรคอย่างแรง ซึ่งอาจทำให้รถเสียการควบคุม และในที่สุดก็เลยร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอุบัติเหตุตรงนั้นซะเลย
ขณะเดียวกัน การมองอย่างมีสติ มองหาช่องทางที่จะหลบ/เลี่ยง ทำให้เรารอดพ้นเหตุการณ์ตรงนั้นมาได้
จริงๆ ไม่มีวิธีแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง 100% นะครับ มีแต่วิธีฝึก ที่จะช่วยป้องกันเหตุการณ์เหล่านี้ได้
1. มองให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใช้ได้กับทุกที่ ทุกโอกาส ไม่ว่าจะวิ่งบนถนน รถติดๆ ทางด่วนรถโล่ง หรือในสนามแข่งที่ต้องแย่งกันอยู่ข้างหน้า กล่าวคือ ถ้าเรามองได้ไกล ภาพที่เราได้จะส่งไปยังสมอง สมองก็จะสั่งการให้เราเตรียมตัวต่อเหตุการณ์นั้นๆได้ก่อน เท่ากับเรามีเวลาพอที่จะตัดสินใจ ในขณะเดียวกัน ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เรายังมีเวลาพอจะแก้ไขได้ทัน
2. ผ่านแล้ว ให้ผ่านเลยหลายครั้งครับ ที่เราเผลอไปมองอะไรก็ตามข้างทางนานๆ ทำให้เราละสายตาจากถนน สมาธิหลุดไปชั่วขณะ ถ้าข้างหน้าไม่มีอะไรก็คงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ามีขึ้นมาละก็ ไอ้ที่มองไกลๆไว้ทีแรก กลับมาดูอีกที กลายเป็นอยู่ตรงหน้าเราซะ ถ้ามาช้าๆ คงไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ามาเร็วๆหละเป็นเรื่องได้ง่ายๆ รวมไปถึงไม่ต้องหันกลับไปมอง หรือแอบชำเลืองมองผ่านกระจกด้วย
3.มองในที่ที่เราจะพารถไปต่อเนื่องมาจากข้อแรกครับ แต่บางครั้งเราอาจเจอถนนที่เป็นมุมอับ เช่นถ้าเป็นในเมืองก็อาจจะมีตึก หรือสิ่งกีดขวางบังตา ไม่สามารถจะมองได้ไกล หรือมองได้เคลียร์ หรือถนนบนภูเขา ที่มีขึ้นมีลง มีมุมบังตา มุมอับ มุมลับเฉพาะมากมาย อย่างแรกเลยคือ มองให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อน หลังจากนั้น ถึงจะเป็นเรื่องของการตัดสินใจ ที่ผมบอกว่า มองในที่ที่จะพารถไป ก็คือ โดยธรรมชาติของคนขับรถปกติ ลองสังเกตดูได้ครับ เรามองทางไหน สมองจะสั่งให้มือพาไปโดยอัตโนมัติกลับมาที่กรณีมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นข้างหน้า ถ้าเรามัวแต่มองไอ้ที่เค้าจะเป็นเหตุกัน เราก็จะพารถเข้าไปหาโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่ควรทำ คือ ต้องมองหาจุดที่ปลอดภัย ที่เราจะสามารถหลุดออกมาได้
ผมยกตัวอย่างง่ายๆครับ วิ่งในเมือง ใครๆก็เจอหลุมแน่นอน ซึ่งคนส่วนใหญ่ เวลาเห็นก็เห็นใกล้ๆ เท่านั้นไม่พอ
จ้องไปที่หลุมอีกต่างหาก หลังจากนั้นก็ ไม่รอดครับ โครม ซ่อมล้อกันไป ลองเปลี่ยนวิธีมองครับ พอใกล้หลุม ให้เล็งไปที่ที่จะหลบ ผมว่า เกิน 90% ที่เราจะผ่านไปได้ ถ้าขั้นตอนถูกต้อง
เบื้องต้นสามวิธีนี้ก็เป็นหัวข้อหลักๆในการมองเวลาขับรถแล้วละครับ ถ้าเป็นในสนามแข่ง ก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยลงไปอีก แต่เอาเท่านี้ก่อนดีกว่า
การฝึกสายตา ฝึกการมอง ฝึกการกะระยะ และเก็บรายละเอียด
ซึ่งถ้าจะว่าไป ในสนามแข่ง นักแข่งจำเป็นต้องมองให้เป็นมองให้ถูก จึงจะสามารถประมวลผลเข้าสู่สมองได้ทัน และได้ประสิทธิภาพเต็มที่
เมื่อนำมาใช้กับการขับบนถนน แน่นอนว่า ความเร็ว ตลอดจนรายละเอียดต่างๆ ไม่จำเป็นต้องมากมายขนาดวิ่งแข่งในสนาม แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญเรื่องนึงทีเดียว
อุปกรณ์ที่ใช้ประกอบการฝึก ก็ไม่ได้มีอะไรมากมายหรือพิศดารตรงไหน แค่นิ้วหัวแม่มือข้างใดข้างนึง โคมไฟสูงซักอัน และหิ้งหรือชั้นวางหนังสือ สามอย่างนี้ก็พอครับ
วิธีฝึก : ยืนตรงสบายๆ ยกนิ้วหัวแม่มือสูงระดับเดียวกับจมูก ลองเพ่งดูรายละเอียดบนนิ้วหัวแม่มือ เสร็จแล้ว ลองเปลี่ยนโฟกัสไปที่โคมไฟ ที่ห่างจากเราไปซักประมาณ10ฟุต
เพ่งดูรายละเอียดของโคมไฟ แบบเดียวกับที่เรามองหัวแม่มือ เสร็จแล้วเปลี่ยนไปมองชั้นวางหนังสือที่อยู่ไกลออกไปอีก เล็งรายอะเอียดเช่นเดียวกัน
หลังจากนั้น กลับมาโฟกัสที่นิ้วหัวแม่มืออีกครั้ง ทำซ้ำๆกันซักประมาณ 2-3 นาทีครับ วิธีนี้ เป็นวิธีที่ช่วยในเรื่องของการกะระยะ การเก็บรายละเอียด และความยืดหยุ่นของ
เลนส์ในตาเราได้เป็นอย่างดี
ถามว่า ทำไมผมถึงเน้นในเรื่องของการมองเป็นพิเศษ จากหน้าแรกๆ จนมาถึงตรงนี้? ตอบได้เลยครับว่า การขับรถบนถนน โดยเฉพาะถนนเมืองไทยนั้นต้องตาไว(และหูไว)อยู่เสมอ ประสาท และการทำงานของร่างกายต้องพร้อม อะไรที่ไม่คาดคิด หรือไม่น่าจะมีบนถนนเมืองไทย มันมีให้เห็น ให้ตกใจตลอด
เพราะฉะนั้น ถ้าเราฝึกให้ตาเป็นอาวุธแรก แน่นอนว่า ขับไปไหน เราก็ค่อนข้างได้เปรียบ ซึ่งก่อนหน้านี้ ผมเคยบอกให้มองให้ไกลสุดไปแล้ว คราวนี้ก็ลองมองแบบเก็บรายละเอียดในระยะต่างๆกันด้วย ลองไปทำดูนะครับ
thor111:
การถ่ายน้ำหนักรถ
ตั้งแต่ขับรถมา ทำล้อแม๊กคดไปก้อเยอะอยู่ รถซิ่งก้องี้ พักหลังพอเริ่มรู้เริ่ม weight transfer มาดูกันซิทีนี้ว่ามันช่วยอะไรเราได้บ้างสมมุติว่า เรามองไปข้างหน้าแล้วเจอหลุมอยู่ที่ล้อหน้าขวา ว่าลงหลุมแน่ๆดอกนี้ ..เราจะหักหลบมันอย่างไร ส่วนมากมักจะหักหลบ..พยายามเอาล้อหน้าขวานั้นออกจากหลุมให้ได้ด้วยการเลี้ยวออกอย่างกระทันหัน ..หลบพ้นก้อดีไป ...แต่ถ้าไม่จะเป้นอย่างไรครับ มาดูต่อ ..ด้วยน้ำหนักที่เราหักหลบหลุมอย่างรวดเร็วนั้น ทำให้น้ำหนักถูกถ่ายไปที่ล้อหน้าขวามากขึ้นกว่าเดิมไปอีก ถ้าคิดเป็น% ที่เพิ่มคงสัก50-60% ได้ ขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่หักหลบ ...ผลเป็นอย่างไรครับ....ถ้ายางคุณใหม่อยู่นิ่มดี ช่วงล่างนิ่มซับแรงกระแทกไปได้เยอะก้อดีไป อาจเสี่ยงกับแม๊กคดน้อยลง แต่ถ้าไม่เช่นยางคุณเป็นrunflat โช้คก้อโคดแข็ง งานนี้อาจต้องมีไปซ่อมล้อล่ะครับ
แล้ว...จะแก้ยังงัย พอผมรู้เรื่องweight transferนี้ ผมเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการขับ โดยถ้าหลุมอยู่ล้อหน้าขวา ผมเพียงกระตุกพวงมาลัย...ไปทางขวามากขึ้นในจังหวะที่จะถึงหลุมพอดี ...เพื่อย้ายน้ำหนักให้ไปอยู่ล้อซ้ายแทน ผมก้อจะเสี่ยงกับการล้อคดน้อยลงจริงมั้ยครับ เอาง่ายๆเหมือนสนามนครชัยศรีเลย ในช่วงหลังจากสุดทางตรงหน้าpitไปจะมีs อยู่ก้อถ่ายน้ำหนักแล้วบินข้ามไปเลย เพื่อให้รถไปตรงมากที่สุด กับอีกอันนึงก่อนขึ้นทางตรงหน้าpitไงครับ นึกออกยังเอ่ย บินเข้าไปเลย มันมีหลุมอยู่ แต่พอน้ำหนักย้ายมาทางฝั่งขวาแทนแล้ว หลุมที่ล้อซ้ายเราก้อไม่ใช่ปัญหาถูกมั้ยครับ
ในการถ่ายทอดน้ำหนักเมื่อรถเรากำลังพุ่งไปข้างหน้า จะมีคาเรกเตอร์ ที่สำคัญในการถ่ายทอดน้ำหนักอยู่ 3 อย่าง
1.คันเร่ง น้ำหนักจะถูกถ่ายไปด้านหลัง
2. เบรค น้ำหนักจะถูกถ่ายไปด้านหน้า
3. การถอนคันเร่งแบบฉับพลัน น้ำหนักจะถูกถ่ายไปด้านหน้าแต่ไม่เยอะเท่าเบรค
ในกรณี ที่กำลังจะพูดถึงนั้น จะขอไม่กล่าวถึง การถ่ายทอดน้ำหนักในมุมทะแยง ที่ขึ้นอยู่องศาการเลี้ยวและน้ำหนักการถ่ายว่าฉับพลันขนาดไหน
thor111:
การจับความเร็วด้วยความรู้สึก
เรื่อง Speed sensing
ถามว่าเรื่องนี้คืออะไร สำคัญตรงไหน และนำไปใช้กับชีวิตประจำวันได้ยังไง?
Speed sensing คืออะไร? ก็ตรงตัวครับ เซนส์ในเรื่องของความเร็ว ความเร็วตรงนี้คือความเร็วรถ ที่สามารถดูได้ง่ายๆก็บนหน้าปัทม์เราแหละ
ใครมี speed sensing ที่ดี ย่อมรู้ได้ว่า รถกำลังวิ่งอยู่ที่ความเร็วเท่าไหร่ หรือ สามารถตัดสินใจได้ว่า ทางที่เห็นข้างหน้า ควรใช้ความเร็วแค่ไหน
แล้วมันสำคัญตรงไหน? ถ้าเป็นบนถนน ตรงที่น่าจะมีประโยชน์ที่สุดคือ ทางที่ถูกกำหนดความเร็วเอาไว้ เช่นทางด่วนทั้งหลาย และซุปเปอร์ไฮเวย์
ถ้านำไปใช้กับสนามแข่ง ตรงนี้จะมีประโยชน์ในแง่ที่เราสามารถรู้สปีดที่เหมาะสมในแต่ละจุดของสนาม ไม่ว่าจะเป็นจุดก่อนเข้าโค้ง
สปีดกลางโค้ง ออกโค้ง ให้เหมาะสม คือได้ความเร็วเต็มที่ เต็มสมรรถนะรถในทุกๆจุดของสนามนั่นเอง
อ่ะ มาเรื่องวิธีฝึกกันบ้าง แบบแรก สามารถทำได้บนถนนเลย จะแหร่มมาก ถ้าเป็นทางด่วน หรือทางโล่งๆ ยาวๆ ให้เราได้ลองเล่นโดยไม่มีอะไรมารบกวน
วิธีฝึก/เล่น เราจะต้องมีอุปกรณ์ประกอบเล็กน้อย นั่นคือ กระดาษแข็งซักแผ่น ตัดมาพอที่จะแปะเข้าไปบนหน้าปัทม์ เพื่อใช้บังเข็มความเร็วได้ และเอาออกได้ง่าย
พอได้อุปกรณ์ เราก็ ไปเลยครับ เลือกเอาถนนซักเส้นที่จะเล่น ถ้าเป็นผม ผมก็เลือกแถวบ้าน ทางด่วนอาจณรงค์-รามอินทรานี่หละ จ่ายตังเสร็จ เริ่มเลย
ขั้นแรก กำหนดควมเร็วไว้ก่อนเลยครับ ว่าจะวิ่งเท่าไหร่ เช่นผมอาจจะเริ่มที่ 90 กม./ชม. วิ่งซักพัก จนความเร็วคงที่ ระหว่างนี้ ต้องคอยสังเกตุครับ ว่าความเร็วขนาดนี้ เราสัมผัสอะไรได้บ้าง เพื่อเป็นส่วนประกอบในการจำ พอคิดว่าจำได้ เอากระดาษแข็งมาแปะเข้าไปบังความเร็วซะเลย พยายามใช้ความรู้สึก
ที่เราจำเอาตั้งแต่ทีแรกครับ ประคองให้อยู่ในสปีดที่เรา "คิดว่า" มันคือสปีดที่เรากำหนดไว้ วิ่งซัก 500 เมตร-กิโลนึง เมื่อมั่นใจว่าใช่แน่ เอากระดาษแข็งออก
แล้วมาดูว่า "ใช่" ไอ้ความเร็วที่เรา"คิดว่าใช่" หรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ ห่างเยอะ ก็ทำใหม่ครับ ทำจนใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้
ขั้นที่สอง ขั้นตอนคล้ายกับขั้นแรกครับ แต่เพิ่มความยากขึ้นอีกหน่อย คือ กำหนดสปีด+ทำความคุ้นเคย+เอากระดาษแข็งแปะ ปิดเข็มความเร็วให้เรียบร้อยคราวนี้ละครับ ยากหน่อย คือเราต้องลด หรือ เพิ่มความเร็ว ไม่ให้อยู่ที่เดิมไปก่อน แล้วค่อยกลับมาที่สปีดที่เรา "คิดว่า" ใช่สปีดเดิมที่เรากำหนด
อันนี้ อาจจะต้องใช้เวลาหน่อยครับ เพราะพอเราเปลี่ยนกลับมา ถ้าเราจำไม่ได้แม่นจริงๆ เพี้ยนแน่นอนครับ ห้ามโกงด้วยการแอบดูวัดรอบนะครับ
ต้องใช้เฉพาะความรู้สึกที่เราจำเอาไว้แล้วเท่านั้น ตรงนี้ถ้าเราทำบ่อยๆ ทำจนแม่น อีกหน่อยเราก็ไม่ต้องเหลือบดูเข็มความเร็วเลยด้วยซ้ำ สามารถรู้ได้เลย ว่าเร็วเท่าไหร่
จะมีประโยชน์กับท่านที่ต้องเดินทางบ่อยๆ วิ่งทางยาวๆ แล้วชอบมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ รวมไปถึง ท่านที่ชอบ"เล่นโค้ง" สปีดที่เราฝึกเอาไว้จนจำได้ จะทำให้เรารู้ครับว่า
ในแต่ละโค้งที่เข้าไป ควรจะมีความเร็วพกเข้าไปด้วยเท่าไหร่ ถึงจะปลอดภัย
thor111:
เรื่องของ "ลมยาง"
เรื่องของเรื่องคือ พฤหัสที่ผ่านมา กลุ่มวัยรุ่น(จริงๆแค่3คน) ไปแอบเซทอะไรนิดๆหน่อยๆกันที่สนามพีระเซอร์กิต พัทยา
เซทเสร็จ ก็ต้องมีการลองกันหน่อย ผลที่ได้ ตอนแรกออกมางงๆ รถออกอาการตุปัดตุเป๋ ไปลำบาก มีทั้งอันเดอร์ก่อน แล้วโอเวอร์สเตียร์ตาม
ทีแรก เข้าใจว่าผิวแทรคลื่นเป็นพิเศษ เพราะตอนลงไปลอง สังเกตเห็นปูนขาวโรยไว้ในหลายๆโค้ง คาดว่ามีคราบน้ำมันปนด้วย และอากาศค่อนข้างมัวซัวหน่อย นึกขึ้นได้อีกที อ้าว ลืมเติมลมยาง ตอนเซทรถวัดเอาไว้ค่อนข้างอ่อนไปนิด ประมาณ30ปอนด์เศษๆ แล้วทั้งเจ้าของรถและผมก็ลืมไปเลย มัวแต่อยากจะลองกัน
ตามปกติ คอนดิชั่นที่เราเคยซ้อม หรือวิ่งเล่น อุณหภูมิแทรคจะสูงหน่อย เพราะแดดที่พีระค่อนข้างแรง ทำให้อุณภูมิยางสูงตามขึ้นไปด้วย
พอเจอกับอากาศเย็นๆ ไม่มีแดด เราเลยลืมนึกข้อนี้ไป อ้ะ นึกขึ้นได้ก็เติมเข้าไปอีกหน่อย เป็นประมาณ 34ปอนด์ แล้วลงไปลองอีกที
อืมมม คราวนี้ได้ผลครับ รถออกอาการตามที่มันควรจะออก โดยที่อาการเหวอๆเสียวๆตอนแรกไม่มีให้สัมผัสอีกต่อไป จบการเซท สบายใจ
ผมเลยอยากพูดถึง"ลมยาง"กันซะหน่อย ว่ามันมีความสำคัญทีเดียว ถ้าใช้ความเร็วสูงๆ ลมยางที่อ่อนหรือแข็งเกินไป ทำให้รถเกิดอาการแปลกๆได้
ลมยางที่อ่อนเกินไป ทำให้ตรงกลางหน้ายางหุบลง คือสัมผัสพื้นได้แค่ขอบด้านนอก/ด้านใน แก้มยางไม่ตึงเต็มที่ เลี้ยวทีก็แทบบจะหลุดจากล้อ
ลมยางแข็งเกินไป อันนี้ตรงข้ามกันอยู่แล้ว คือ ตรงกลางหน้ายางป่องเกินไป หน้าสัมผัสด้านนอก/ด้านใน แตะผิวถนนไม่เต็มที่ แก้มยางแข็งกระด้างเกินไปอีก
ลมยางที่พอดีๆ หน้าสัมผัสจะเต็มเม็ดเต็มหน่วย หน้าสัมผัสที่ผมพูดถึง ไม่ใช่ขนาดความกว้างที่เราชอบเอามาคุยกันนะครับ
เช่นเราใส่ยาง 225/45/17 เรามักนึกว่า 225 คือขนาดหน้ากว้างของยาง จริงๆมันคือส่วนที่กว้างที่สุด นั่นก็คือ วัดจากตรงแก้มยางสองฝั่ง
ถ้าจะวัดหน้ายางกันจริงๆ ต้องวัดกันที่ Footprint(รอยตีน) ตามศัพท์ทางรถแข่งเค้าว่ากัน
ไอ้เจ้า Footprint นี่หละครับ คือตัวที่จะบอกว่า หน้าสัมผัสของยางนั้นๆ ทำงานเต็มประสิทธิภาพแค่ไหน ลมยางเองมีส่วนอย่างมากในเรื่องนี้ อย่างที่บอกไปแล้วครับ
จริงๆวิธีวัด Footprint ก็เป็นวิธีนึง แต่ถ้าจะวัดกันจริงๆ อาจจะต้องมีเครื่องมือเพิ่มเติมอีกหน่อย นั่นคือ ที่วัดอุณหภูมิพื้นผิว เค้าเรียกว่าอะไร ผมก็ไม่ได้จำซะด้วย
แต่มันมีหน้าทีตามชื่อของมันหละครับ มีทั้งแบบเป็นแสงเลเซอร์ยิงเข้าไปในที่ที่เราจะวัด หรือประเภทมีปลายไว้ใช้แตะของที่จะวัด แต่หลักๆคือ มันจะบอกเลยว่า
อุณหภูมิของพื้นผิวนั้นๆ เป็นเท่าไหร่
ได้เจ้าตัวนี้มาเสร็จ ก็ลองได้เลยครับ เอารถออกไปหวดซัก2-3รอบ(ในสนาม) วิ่งกลับเข้าพิท เอาปืนอุณภูมิยิงไปที่หน้ายาง วัดสามจุดครับ ทั้งนอก/กลาง/ใน
แล้วดูว่า อุณหภูมิที่ได้ ใกล้เคียงกันหรือไม่ ถ้าตัวเลขทั้งสามค่าไม่เพี้ยนกันมาก ก็คือจบ ลมยางและการเซทต่างๆถือว่าดี แต่ถ้าอุณหภูมิต่างกันชัดเจน เช่นตรงกลางหน้ายางร้อนกว่า นั่นคือ ลมแข็งไป ถ้าตรงกลางเย็นกว่า นั่นคือ ลมอ่อนไป (อันนี้คร่าวๆนะครับ จริงๆจะมีเรื่องมุมล้อด้วย)
เราก็จัดการลมยาง จนได้ค่าที่พอดีตามที่เราต้องการ
ที่หลอกให้อ่านซะยาวนี่ไม่ใช่อะไรครับ จะบอกว่า บางที การใช้ยางราคาแพงๆ ที่เค้าว่ากันว่าสมรรถนะดีนั้น ตัวเราเองได้ใช้ตรงจุดนั้นจริงๆรึเปล่า?
ยางราคาเส้นละ 6-7000++ เราใช้จริงๆถึง3000มั้ย? คือ ไหนๆก็ลงทุนใช้รถขับสนุกๆ ใช้ยางดีๆแล้ว ก็ดูแลตรงนี้กันนิดนึง จะได้หนุกกว่าเดิมด้วย
ลมยางที่เพี้ยนมากๆ นอกจากทำให้ยางเสียหายแล้ว อาจทำให้เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์ หนักมากๆ อาจทำให้พาไปเจออุบัติเหตุด้วยซ้ำไป
ขอให้สนุกกับการเซทลมยางนะคร๊าบบบบ
นำร่อง
[0] ดัชนีข้อความ
[#] หน้าถัดไป
[*] หน้าที่แล้ว
Go to full version