Siam Subaru Webboard
General Discussion => Siam Subaru Society Forum => ข้อความที่เริ่มโดย: Ricer ที่ กุมภาพันธ์ 12, 2010, 12:55:44 pm
-
แค่สงสัยว่าเพื่อนๆส่วนมากมีวิธีการเบรกยังไงครับ ใช้ Heel Toe กันเยอะไหม emo20o
-
รอผู้รู้มาตอบด้วยคนครับ
-
heel & toe ครับ ค่อยๆลดลง ยกเว้นว่าไม่ไหวแล้วจิงๆ อาจต้องข้ามเกียร์ แล้วแต่สถาณการณ์ครับ
-
ถ้าบนถนนทั่วไป ก็จะข้ามเกียร์อ่ะครับ.. ขี้เกียจเปลี่ยนบ่อย emo49o แต่ถ้ากำลังรีบๆ หรือกำลังต้องการจะไปต่อ ก็จะลดทีละเกียร์เพื่อเลี้ยงให้อยู่ใน powerband ครับ emo28o
-
emo72o
เบรคเรื่องเดียวนี่คุยกันยาวเหยียดแน่ๆครับ ถ้ามีเวลาลองหาอ่านเอาในกระทู้การขับบนถนน ในหน้า Article ก็จะดีครับ
Heel & toe ก็เช่นเดียวกันครับ ลองไปอ่านก่อน แล้วสงสัยตรงไหนมาถามเพิ่มเอาดีกว่า emo64o
http://www.siamsubaru.com/subaruboard/index.php?topic=15864.0
-
เป็นผมจะ 5-4-3-2 ครับ ฉุกเฉินเท่านั้น
แต่ขอถามนิดนึงครับ
แล้วก็ไม่ควรใช้ engine brake บนถนนในการใช้งาน ทั่วไปครับ
ตามความเห็นผม การใช้ engine brake นั้น เป็นการเพิ่มภาระให้กับเครื่องยนต์ โดยไม่จำเป็น นะครับ และยังทำให้ เกิดการสึกหร่อ สูงอีกด้วย
emo52o
แต่ ถ้าเป็นในสนาม นั้นผมว่าคงจะหลีกเลี้ยงไม่ได้ ครับ ก็ ต้อง HEEL & TOE กันไป emo54o
-
ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยตอบนะครับ สังสัยต้องเปลี่ยนการขับหน่อยละเพราะส่วนตัวนั้นชอบฮีลแอนด์โทลดแบบทีละขั้น engine brake มันแทบตลอดแต่ผมเป็นคนขับรอบค่อนข้างต่ำ ค่อยๆไปคงจะไม่โทรมเครื่องมาก(มั้ง) ถนอมเครื่องหน่อยดีก่า เดี๋ยวไปอ่านเพิ่มแบบจารอั๋นบอกดูละกันนะครับ emo44o
-
ครับ
ค่าผ้า เบรค กับ ค่าแรงในการเปลี่ยน ถูกกว่า
ENGINE PART แน่นอนครับ
-
เห็นหัวข้อปุ๊บ ก็กะว่าจะเอากระทู้จานมาแปะไว้ให้....แต่พอเข้ามา จานเรามาแปะเองกะมือเลยยยยย emo76o emo76o
ตี้ลองฝึกดูครับ วันละแบบฝึกหัด 2 แบบฝึกหัด แล้วจะสนุกกับการขับรถมากๆ เลย emo64o
-
เปลี่ยนลงทีละเกียมันเมื่อยนะครับ ผมบางทีเปลี่ยนเกียขึ้น ยังข้ามจาก4ไป6เลย ขี้เกียจสับหลายที emo58o เรื่องเปลี่ยนลงทีละเกียหรือเปลี่ยนข้ามเกีย ไม่ว่าจะในสนามหรือบนถนน มันแล้วแต่ความถนัดครับ มีทั้งข้อดีข้อเสีย สมมติจะเปลี่ยนเกียจาก5ไป2 บางคนเค้าก็ว่าข้ามเกียดีกว่าใช้สมาธิไปกับการเบรคได้เต็มที่ ถ้าเราไล่ลงทีละเกีย ต้องเหยียบคลัช3ที สับอีก3ที ถ้าทำheel&toeด้วยก็ขาเป็นแมงมุมเลยล่ะคับ โอกาสผิดพลาด โอกาสเสียเวลามีสูงกว่า บางคนก็บอกถ้าข้ามเกียแล้วผิดจังหวะ โอกาศพังสูง โอกาสshift lockก็สูง ผมว่าเรื่องนี้แล้วแต่ความถนัดส่วนตัวครับ
-
ตอบยากจริงๆ กระทู้นี้... จากที่นั่งรถตอนแทรกเดย์บ่อยๆ....เห็นมาครบทุกอย่างเลยครับ... ไล่เกียร์ข้ามเกียร์จนถึงไม่ใช้ engine brake เลย..
แต่จาก speed secret นี่เค้าว่า.... เครื่องเอาไว้เร่ง เบรกเอาไว้เบรกครับ...(แต่หลายคนขับแบบใช้ engine brake ก็เร็วชิบ...แล้วแต่เทคนิกจริงๆ)
ลองหาอ่านเพิ่มในกระทู้ของจาร์ยดูครับ....ท่านจะขับรถสนุกขึ้นอีกมาก
-
ขอบคุณพี่ประธานต่อ พี่ หมอ(ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) และทุกท่านด้วยครับ หลายตำหรับตำรา สงสัยจะต้องลองให้หมด ส่วน "speed secret นี่เค้าว่า.... เครื่องเอาไว้เร่ง เบรกเอาไว้เบรกครับ" ผมก็ได้ยินมาเหมือนกันนะครับ ช่วงหลังๆผมสังเกตุว่าเบรกมันหมดช้ามากกกกกกกกก ซึ่งตอนแรกๆก็คิดว่าดีแฮะ แต่เอเราก็ขับไม่ได้อืดมากนี่หว่า ...อ้อ รู้แระส่วนมากตูใช้ engine brake นี่เอง emo35o ... แต่ ยิ่งเจอข้อความนี้ยิ่งใช่เลย
ครับ
ค่าผ้า เบรค กับ ค่าแรงในการเปลี่ยน ถูกกว่า
ENGINE PART แน่นอนครับ
เก็บตังค์ค่าอะไหล่ไปเข้าโครงการเหยี่ยวดำเพื่อเด็กผู้ยากไร้ดีก่าครับ emo18o ซินเจียยู่อี่ ซินที่เกียงคัง พลังเหลือเฟือครับพี่น้อง emo28o
-
ถ้าให้ตอบแบบตรงคำถาม ก็คือ ถ้าคิดจะฝึก แนะนำให้ทำ 6-5-4-3-2-1
เหตุผลคือ การฝึกทำ heel&toe การเอาส้นเท้าไปกดคันเร่งนั้น มันต้องรู้ด้วยว่าเราต้องการให้รอบไปอยู่ที่เท่าไหร่ เพื่อที่จะได้รู้ว่าต้องกดคันเร่ง มาก/น้อย ขนาดไหน เช่น 3-2 ที่ 3,000rpm ต้องการให้ไปอยู่ที่ 4,000rpm แต่ถ้า 2-1 ที่ 2,000rpm ต้องการให้ไปอยู่ที่ 4,000rpm (เนื่องจากอัตราทดเกียร์ไม่เหมือนกันในแต่ละเกียร์)
ดังนั้น คนที่ทำข้ามเกียร์ได้ถูกต้องจริงๆ คงมีน้อยมาก ซึ่ง ผมว่า แค่ไม่ข้ามเกียร์ คนที่ทำถูกต้องจริงๆในเมืองไทย ไม่รู้ว่าจะถึง 20 คนไม๊ (ไม่ใช่ว่านักแข่งไทยไม่เก่งนะครับ ไม่ทำ heel&toe ก็โคตรเร็วได้)
แต่ขั้นแรก ต้องมั่นใจก่อน ว่าเราเบรคเก่งแล้ว คือ ตั้งแต่เริ่มเบรคจนรถหยุด หัวของเราผงกแค่ทีเดียว แล้วอยู่ที่เดิมตลอด ไม่มากขึ้น หรือ น้อยลง จนรถหยุด
ถ้าทำได้แล้ว ก็มาลองทำ heel&toe สิ่งที่สำคัญสุดคือ ตอนทำ น้ำหนักเบรคนิ่งเหมือนกับตอนไม่ทำไม๊ ถ้าน้ำหนักเบรคไม่นิ่ง สังเกตุดูว่าไม่นิ่งตอนไหน? ตอนขยับเท้าไปกดคันเร่ง? หรือ ตอนที่ปล่อยคลัทช์? ต้องเอาให้น้ำหนักเบรคนิ่งให้ได้ ถ้าเป็นตอนขยับเท้าไปกดคันเร่ง ก็ต้องพยายามทำไงก็ได้ให้น้ำหนักเบรคไม่เปลี่ยน ถ้าเป็นตอนปล่อยคลัทช์ ก็มีสองอย่าง กระชากไปข้างหน้า ก็คือ กดคันเร่งมากเกิน รอบสูงไป หรือหัวทิ่ม ก็คือกดคันเร่งน้อยไป
อีกเรื่องก็คือช่วงที่กดคลัทช์ ควรจะสั้นที่สุด ไม่ควรกดค้างไว้นานๆ
สำหรับผม ถ้าจะฝึก ก็จะทำอย่างที่ว่านี้
ถ้าตอนเอาไปใช้จริง เนื่องจากเราเองก็ไม่ได้โปรมาก ก็จะดูเป็นจุดๆไป บางโค้งใช้ บางโค้งไม่ใช้ บางโค้งอาจจะข้ามเกียร์ ถ้าในสนาม ข้ามเกียร์จะยากน้อยกว่าบนถนน เพราะว่ามันจะเหมือนๆเดิมทุกครั้ง เช่น สุดทางตรงพีระ 5-3 ทุกที ความเร็วพอๆกัน มันก็กะง่ายกว่า
ถ้าทำบนถนนเนียนได้ ในสนามจะง่ายกว่าครับ เพราะว่าใช้รอบสูงกว่า เบรคเต็มกว่า
แต่ถ้าคนที่เก่งๆ เช่น พระอาจารย์นิชิ เค้าจะใช้เยอะมาก เปลี่ยนแม่นมาก นั่งมาแล้วก็จะทำให้เราเกิดความละอายใจ ไม่กล้าใช้ เพราะสิ่งสำคัญจริงๆคือการคุมน้ำหนักเบรคให้ได้ ถ้าจะทำ heel&toe แล้วทำให้เบรคล้อล๊อค หรือ เบรคไม่เต็ม ก็อย่าทำซะดีกว่า
แต่ถ้าทำได้ มันก็มีประโยชน์ครับ
๑. เบรคแล้วรถจะนิ่งกว่า (ขับสี่)
๒. เกิดอะไรขึ้น ก็พร้อมที่จะใช้กำลังเครื่อง ทำให้รอดออกมาได้
๓. ถ้าขับหลายๆรอบ เปลืองเบรคน้อยกว่า
๔. ถนอมพวกระบบส่งกำลังต่างๆได้
แต่ถ้าทำไม่ถูก แล้วใช้
๑. ยางพัง
๒. ระบบส่งกำลังพัง
๓. เครื่องพัง
๔. เสียสมาธิ แทนที่จะเอาไปเบรค มัวแต่เปลี่ยนเกียร์ ทำให้ช้าลง
ถ้าไม่ได้คิดจะฝึก ผมว่า มันคงไม่คุ้มกับการสึกหรอ ถ้าฝึกบนถนน เครื่องคงไม่น่าเป็นไรมาก เนื่องจากตอนฝึก ก็ไม่จำเป็นต้องฝึกรอบสูง แต่อาจจะเปลืองคลัทช์ กับ เกียร์ กับพวกเกี่ยวกับระบบส่งกำลัง เนื่องจากตอนฝึกคงไม่เนียนมาก พลาดนู่นนี่ แต่ถ้าทำเริ่มเก่งแล้ว ก็ไม่น่าเปลืองอะไรมาก
emo44o
-
emo72o
ก้องตอบได้แจ่มมาก สมเป็นศิษย์ผู้น้องจริงๆ emo64o
เพิ่มเติมให้นิดนึงครับ สำหรับการทำความเข้าใจรอบ หรือการทำ rev/matching ของรถเราเอง เพราะมันเกี่ยวเนื่อง เกี่ยวพันกับ heel&toe ด้วย
ก่อนจะเริ่มหัดทำ heel&toe จริงๆเราต้องรู้ก่อนว่า รอบเครื่องในรถเราเอง เมื่อลดเกียร์ลงในแต่ละช่วง มันแตกต่างกันเท่าไหร่
เช่นที่ความเร็วเท่ากัน สมมุติว่าซัก80กม./ชม. จากเกียร์4 2500รอบ ลดมาเกียร์3 อาจจะโดดขึ้นไปถึง4000 หรือ 6000กว่าๆ ในเกียร์2 ขึ้นอยู่กับอัตราทดเกียร์เราเอง
ตรงนั้น เราต้องรู้ และต้องแม่นจริงๆ เพราะถ้าไม่แม่น การ"แย๊บคันเร่งด้วยส้นเท้า" ที่เราจะทำ ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย เพราะถ้ากดมากไป รอบก็สูงเกินจำเป็น
พอปล่อยคลัทช์ รถก็ไม่นิ่ง หรือในทางกลับกัน แย๊บน้อยเกินไป รอบไม่ถึง พอปล่อยคลัทช์รถก็กระชากตามรอบที่ถูกเหวี่ยงขึ้นไปอีัก
ความสำคัญและหัวใจหลักๆของการทำ heel&toe จึงอยู่ที่ ความสัมพันธ์ของรอบด้วย บางคนเน้น engine brake คือทำตั้งแต่รอบสูงๆ ก็จังหวะนึง
บางคนเบรคลงมาจนรอบต่ำๆ ก็น่าจะทำง่ายกว่า แต่ในความเป็นจริงอาจจะไม่ใช่ก็ได้ การข้ามเกียร์ก็เช่นกัน วิธีนั้นผมเคยบอกไว้หลายครั้ง
คือให้พวกเรา "โฟกัส" ไปที่เบรค/ไลน์/สปีดที่จะเข้าโค้ง มากกว่าการมานั่งเกร็งกับจังหวะในการทำ heel&toe
เำพราะฉะนั้น ในการสอนมือใหม่ๆ ผมจะเน้นเสมอว่า ถ้ายังทำได้ไม่ดี อย่าเพิ่งทำ หมายถึงถ้าวิ่งในสนามแล้วยังไม่ชินกับการทำ heel&toe
ก็ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ ให้ใช้วิธีเบรคลงให้รอบต่ำๆก่อน แล้วจังหวะการปล่อยคลัทช์หลังลดเกียร์ ให้ทำแบบนุ่มๆ ซึ่ง อาจจะเปลืองคลัทช์หน่อย
แต่ผลออกมา ใกล้เคียงกับการทำ heel&toe นี่แหละ นี่ผมพูดถึงรถบ้านๆ ที่คลัทช์ไม่โดด ไม่จับมากๆนะครับ ถ้าเป็นพวกคลัทช์จับมหาโหดก็ลำบากหน่อย
ผมเองยอมรับว่า ในรถขับหน้าทั้งหมดที่ขับในสนาม ไม่ว่าฮอนด้า โตโยต้า มิตซูหรืออะไรก็ตาม ผมไม่เคยทำ heel&toe เพราะไม่มีความจำเป็นเลย
แต่ถ้าเป็นรถขับ4 หรือขับหลัง หรือรถที่คลัทช์จับโหดๆตามที่บอก ผมก็พยายามทำเท่าที่ทำได้ หมายถึงทำแล้วไม่้มีผลเสียกับเรื่องอื่นๆนะครับ
คนที่อยากฝึกจริงๆ ก็ควรมีความเข้าใจให้ถูกต้องก่อนว่า ทำไปเพื่ออะไร ทำยังไง ขั้นตอนหรือจังหวะอยู่ตรงไหน ไม่ใช่อยากทำก็ทำ ทำผิดทำถูกแล้วมาบอกว่าทำ
อย่างนั้นใช้ไม่ได้ครับ ที่ผมเิห็นบ่อยที่สุดคือ ทำผิดจังหวะ คือเบรค เอาส้นเท้าแย๊บคันเร่งก็จริง แต่รอรอบตกก่อนแล้วถึงปล่อยคลัทช์
แบบนั้นจะทำไปทำบ้าอะไร แล้วที่ผมเห็นนี่้ ไม่น้อยนะครับ พวกนักแข่งวันเมคนี่แหละตัวดี emo69o
ยืนฟังเสียงเอาก็รู้ครับ เหมือนรอบเครื่องจะถูกเร่งขึ้นไปสองจังหวะซ้อน จังหวะแรกเพราะส้นเท้าแย๊บคันเร่ง จังหวะที่สองตามมาคือเสียงรอบที่ถูกดีดขึ้นตอนปล่อยคลัทช์
ที่ร่ายมาซะยาวนี่ไม่ใช่อะไรนะครับ แค่อยากบอกว่า "ถ้าจะทำ ทำให้ถูก ไม่งั้นไม่ต้องทำดีกว่า"
มึนมั้ยครับ emo64o
-
emo20o โออออ อ่านคำแนะนำจากท่านอาจารย์แล้ว ฮึดครับ ตอนนี้ก็พยายามฝึกฝนอยู่ครับผม emo28o เมนท์ได้ตรงไปตรงมามากครับ แต่สงสัยอย่างว่าทำไมรถขับหน้าถึงไม่จำเป็นต้อง Heel & Toe ครับ emo11o
-
แต่สงสัยอย่างว่าทำไมรถขับหน้าถึงไม่จำเป็นต้อง Heel & Toe ครับ emo11o
emo72o
ผมตอบง่ายๆแล้วกันนะครับว่าทำไม รถบ้าน(ส่วนใหญ่เป็นขับหน้า), รถที่ใช้คลัทช์เดิม รวมไปถึงรถแข่งประเภทวันเมค เรี่ยวแรงไม่ได้มาก
การจับจังหวะคลัทช์ สามารถทำได้ไม่ยาก รวมไปถึงในกรณีลดเกียร์ลงต่ำ ถึงแม้รอบเครื่องจะโดดขึ้นก็จริง แต่การปล่อยคลัทช์นุ่มๆ
ก็สามารถคุมอาการรถให้นิ่ง ให้ยังบาลานซ์อยู่ได้ไม่ยาก
ในขณะเดียวกัน รถขับหลัง หรือขับ4 ที่มีพละกำลังมากกว่า ระบบคลัทช์ที่ใช้ แน่นอนว่าอาจจะโหดกว่าซักหน่อย ถ้าคนขับยังสามารถคุมคลัทช์ได้
ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องทำheel&toeเช่นเดียวกัน
ทีนี้ สมมุติว่า คนขับไม่ได้ืำทำ เลือกที่จะปล่อยคลัทช์นุ่มๆแบบที่ว่า แต่พลาด ในกรณีรถขับหน้า อาจจะมีกระชาก หรือกระตุกไม่มาก
ถ้าพลาดตอนล้อตรงๆก็ไม่มีอะไรน่ากลัว ถ้าพลาดตอนล้อเริมเลี้ยว ก็อาจจะมีอาการ understeer นิดหน่อย ก็ยังไม่น่ากลัวเ่่ท่าไหร่
แต่ถ้าเป็นรถขับหลัง หรือขับสี่ ไม่ทำ heel&toe แล้วพลาดปล่อยคลัทช์แรง อาการที่จะเกิดขึ้นในขับหลังก็คือ oversteer ซึ่งน่ากลัวกว่า
ในขับ4 ก็อาจจะเป็นได้ทั้ง under หรือ over หรือ underก่อนแล้ว over ตาม เป็นไปได้เหมือนกันครับ
ที่พูดๆมาทั้งหมดนี่คือสำหรับมือใหม่ๆนะครับ พวกที่ทำจนเซียนแล้ว จับจังหวะทุกอย่างได้แล้วอาจจะทำหรือไม่ทำเลยก็ได้
ส่วนตัว ที่ผมไม่ทำในรถขับหน้า ก็ด้วยกรณีที่เล่าให้ฟัง ผมเบรคจนรอบตกมาเยอะหน่อย ลดเกียร์ลง ปล่อยคลัทช์นุ่มๆ จบพิธีครับ emo64o
-
ถามบ้างดีกว่าครับ รบกวนกูรูช่วยแนะนำบ้างครับ
ถ้าเป็นกรณีที่ว่าไม่ได้ใช้เบรคเลยเนื่องจากความเร็วไม่ได้สูงมาก คือ เหยียบคลัช แย๊บคันเร่ง แล้วลดเกียร์ลงจาก 4 ไป 3 น่ะครับ อธิบายไม่ค่อบถูกน่ะครับ แหะ แหะ เราเรียกลักษณะอย่างว่าอะไรหรอครับ ทำแบบนี้เรียกว่าผิด หรือป่าว แล้วจะเป็นผลดี หรือผลเสีย กับเครื่องยนต์ อย่างไรบ้างครับ
emo64o
-
ถามบ้างดีกว่าครับ รบกวนกูรูช่วยแนะนำบ้างครับ
ถ้าเป็นกรณีที่ว่าไม่ได้ใช้เบรคเลยเนื่องจากความเร็วไม่ได้สูงมาก คือ เหยียบคลัช แย๊บคันเร่ง แล้วลดเกียร์ลงจาก 4 ไป 3 น่ะครับ อธิบายไม่ค่อบถูกน่ะครับ แหะ แหะ เราเรียกลักษณะอย่างว่าอะไรหรอครับ ทำแบบนี้เรียกว่าผิด หรือป่าว แล้วจะเป็นผลดี หรือผลเสีย กับเครื่องยนต์ อย่างไรบ้างครับ
emo64o
เค้าเรียกว่าเปลี่ยนเกียร์ลงงัย หรือศัพท์วัยสะรุ่นเค้าเรียกว่าเชนเกียร์ emo76o emo76o
เอาดีๆ ดีกว่า เด๋วตู๋มันงอล emo63o
จากสิ่งที่ตู๋ถาม อธิบายสั้นๆ ละกัน คือเมื่อวิ่งอยู่บนถนนปกติ แล้วมีการเปลี่ยนเกียร์ลง เช่นจาก 4 เป็น 3 หรือจาก 3 เป็น 2 ซึ่งถ้าความเร็วเท่าๆ กันเกียร์ที่ต่ำกว่าจะมีรอบเครื่องที่สูงกว่าด้วยอัตราทดเกียร์ที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าเปลี่ยนเกียร์แล้วถอนคลัทซ์เฉยๆ อาจจะทำให้รถเกิดอาการกระตุกได้ เพื่อรักษาอาการรถไม่ให้กระตุกจึงอาจจะต้องมีการแย๊บคันเร่งเพื่อให้รอบมันขึ้นมาสัมพันธ์กับความเร็วของเกียร์นั้นๆ เราเรียกว่า "Rev Matching" ครับ เพื่อรักษาอาการรถให้เสถียรครับ
-
เค้าเรียกว่าเปลี่ยนเกียร์ลงงัย หรือศัพท์วัยสะรุ่นเค้าเรียกว่าเชนเกียร์ emo76o emo76o
เอาดีๆ ดีกว่า เด๋วตู๋มันงอล emo63o
จากสิ่งที่ตู๋ถาม อธิบายสั้นๆ ละกัน คือเมื่อวิ่งอยู่บนถนนปกติ แล้วมีการเปลี่ยนเกียร์ลง เช่นจาก 4 เป็น 3 หรือจาก 3 เป็น 2 ซึ่งถ้าความเร็วเท่าๆ กันเกียร์ที่ต่ำกว่าจะมีรอบเครื่องที่สูงกว่าด้วยอัตราทดเกียร์ที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าเปลี่ยนเกียร์แล้วถอนคลัทซ์เฉยๆ อาจจะทำให้รถเกิดอาการกระตุกได้ เพื่อรักษาอาการรถไม่ให้กระตุกจึงอาจจะต้องมีการแย๊บคันเร่งเพื่อให้รอบมันขึ้นมาสัมพันธ์กับความเร็วของเกียร์นั้นๆ เราเรียกว่า "Rev Matching" ครับ เพื่อรักษาอาการรถให้เสถียรครับ
ขอบคุณทั่นประธานต่อมากค้าบ สำหรับความรู้
emo64o