Article > Article

วิธีฝึกขับรถบนถนน (โดย จารย์อั๋น)

<< < (2/3) > >>

ValenDear:
การถ่ายน้ำหนักรถ
    ตั้งแต่ขับรถมา ทำล้อแม๊กคดไปก้อเยอะอยู่  รถซิ่งก้องี้    พักหลังพอเริ่มรู้เริ่ม weight transfer  มาดูกันซิทีนี้ว่ามันช่วยอะไรเราได้บ้างสมมุติว่า เรามองไปข้างหน้าแล้วเจอหลุมอยู่ที่ล้อหน้าขวา  ว่าลงหลุมแน่ๆดอกนี้  ..เราจะหักหลบมันอย่างไร   ส่วนมากมักจะหักหลบ..พยายามเอาล้อหน้าขวานั้นออกจากหลุมให้ได้ด้วยการเลี้ยวออกอย่างกระทันหัน  ..หลบพ้นก้อดีไป ...แต่ถ้าไม่จะเป้นอย่างไรครับ  มาดูต่อ ..ด้วยน้ำหนักที่เราหักหลบหลุมอย่างรวดเร็วนั้น  ทำให้น้ำหนักถูกถ่ายไปที่ล้อหน้าขวามากขึ้นกว่าเดิมไปอีก  ถ้าคิดเป็น% ที่เพิ่มคงสัก50-60% ได้ ขึ้นอยู่กับน้ำหนักที่หักหลบ   ...ผลเป็นอย่างไรครับ....ถ้ายางคุณใหม่อยู่นิ่มดี  ช่วงล่างนิ่มซับแรงกระแทกไปได้เยอะก้อดีไป  อาจเสี่ยงกับแม๊กคดน้อยลง  แต่ถ้าไม่เช่นยางคุณเป็นrunflat โช้คก้อโคดแข็ง  งานนี้อาจต้องมีไปซ่อมล้อล่ะครับ
แล้ว...จะแก้ยังงัย   พอผมรู้เรื่องweight transferนี้ ผมเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการขับ  โดยถ้าหลุมอยู่ล้อหน้าขวา  ผมเพียงกระตุกพวงมาลัย...ไปทางขวามากขึ้นในจังหวะที่จะถึงหลุมพอดี ...เพื่อย้ายน้ำหนักให้ไปอยู่ล้อซ้ายแทน  ผมก้อจะเสี่ยงกับการล้อคดน้อยลงจริงมั้ยครับ  เอาง่ายๆเหมือนสนามนครชัยศรีเลย  ในช่วงหลังจากสุดทางตรงหน้าpitไปจะมีs อยู่ก้อถ่ายน้ำหนักแล้วบินข้ามไปเลย  เพื่อให้รถไปตรงมากที่สุด  กับอีกอันนึงก่อนขึ้นทางตรงหน้าpitไงครับ  นึกออกยังเอ่ย  บินเข้าไปเลย มันมีหลุมอยู่ แต่พอน้ำหนักย้ายมาทางฝั่งขวาแทนแล้ว  หลุมที่ล้อซ้ายเราก้อไม่ใช่ปัญหาถูกมั้ยครับ
ในการถ่ายทอดน้ำหนักเมื่อรถเรากำลังพุ่งไปข้างหน้า   จะมีคาเรกเตอร์ ที่สำคัญในการถ่ายทอดน้ำหนักอยู่ 3 อย่าง
1.คันเร่ง  น้ำหนักจะถูกถ่ายไปด้านหลัง 
2. เบรค  น้ำหนักจะถูกถ่ายไปด้านหน้า 
3. การถอนคันเร่งแบบฉับพลัน  น้ำหนักจะถูกถ่ายไปด้านหน้าแต่ไม่เยอะเท่าเบรค
ในกรณี  ที่กำลังจะพูดถึงนั้น จะขอไม่กล่าวถึง  การถ่ายทอดน้ำหนักในมุมทะแยง  ที่ขึ้นอยู่องศาการเลี้ยวและน้ำหนักการถ่ายว่าฉับพลันขนาดไหน
การจับความเร็วด้วยความรู้สึก
    เรื่อง Speed sensing
ถามว่าเรื่องนี้คืออะไร สำคัญตรงไหน และนำไปใช้กับชีวิตประจำวันได้ยังไง?
Speed sensing คืออะไร?  ก็ตรงตัวครับ เซนส์ในเรื่องของความเร็ว  ความเร็วตรงนี้คือความเร็วรถ ที่สามารถดูได้ง่ายๆก็บนหน้าปัทม์เราแหละ
ใครมี speed sensing ที่ดี ย่อมรู้ได้ว่า รถกำลังวิ่งอยู่ที่ความเร็วเท่าไหร่ หรือ สามารถตัดสินใจได้ว่า ทางที่เห็นข้างหน้า ควรใช้ความเร็วแค่ไหน
แล้วมันสำคัญตรงไหน?   ถ้าเป็นบนถนน ตรงที่น่าจะมีประโยชน์ที่สุดคือ ทางที่ถูกกำหนดความเร็วเอาไว้ เช่นทางด่วนทั้งหลาย และซุปเปอร์ไฮเวย์
ถ้านำไปใช้กับสนามแข่ง ตรงนี้จะมีประโยชน์ในแง่ที่เราสามารถรู้สปีดที่เหมาะสมในแต่ละจุดของสนาม ไม่ว่าจะเป็นจุดก่อนเข้าโค้ง
สปีดกลางโค้ง ออกโค้ง ให้เหมาะสม คือได้ความเร็วเต็มที่ เต็มสมรรถนะรถในทุกๆจุดของสนามนั่นเอง
อ่ะ  มาเรื่องวิธีฝึกกันบ้าง   แบบแรก สามารถทำได้บนถนนเลย  จะแหร่มมาก ถ้าเป็นทางด่วน หรือทางโล่งๆ ยาวๆ ให้เราได้ลองเล่นโดยไม่มีอะไรมารบกวน
วิธีฝึก/เล่น เราจะต้องมีอุปกรณ์ประกอบเล็กน้อย  นั่นคือ กระดาษแข็งซักแผ่น ตัดมาพอที่จะแปะเข้าไปบนหน้าปัทม์ เพื่อใช้บังเข็มความเร็วได้ และเอาออกได้ง่าย
พอได้อุปกรณ์ เราก็ ไปเลยครับ เลือกเอาถนนซักเส้นที่จะเล่น  ถ้าเป็นผม ผมก็เลือกแถวบ้าน  ทางด่วนอาจณรงค์-รามอินทรานี่หละ  จ่ายตังเสร็จ เริ่มเลย

          ขั้นแรก  กำหนดควมเร็วไว้ก่อนเลยครับ ว่าจะวิ่งเท่าไหร่  เช่นผมอาจจะเริ่มที่ 90 กม./ชม.  วิ่งซักพัก จนความเร็วคงที่ ระหว่างนี้ ต้องคอยสังเกตุครับ ว่าความเร็วขนาดนี้ เราสัมผัสอะไรได้บ้าง เพื่อเป็นส่วนประกอบในการจำ  พอคิดว่าจำได้  เอากระดาษแข็งมาแปะเข้าไปบังความเร็วซะเลย  พยายามใช้ความรู้สึก
ที่เราจำเอาตั้งแต่ทีแรกครับ ประคองให้อยู่ในสปีดที่เรา "คิดว่า" มันคือสปีดที่เรากำหนดไว้ วิ่งซัก 500 เมตร-กิโลนึง  เมื่อมั่นใจว่าใช่แน่  เอากระดาษแข็งออก
แล้วมาดูว่า "ใช่" ไอ้ความเร็วที่เรา"คิดว่าใช่" หรือเปล่า  ถ้าไม่ใช่ ห่างเยอะ ก็ทำใหม่ครับ ทำจนใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้

          ขั้นที่สอง  ขั้นตอนคล้ายกับขั้นแรกครับ  แต่เพิ่มความยากขึ้นอีกหน่อย  คือ กำหนดสปีด+ทำความคุ้นเคย+เอากระดาษแข็งแปะ   ปิดเข็มความเร็วให้เรียบร้อยคราวนี้ละครับ ยากหน่อย คือเราต้องลด หรือ เพิ่มความเร็ว ไม่ให้อยู่ที่เดิมไปก่อน  แล้วค่อยกลับมาที่สปีดที่เรา "คิดว่า" ใช่สปีดเดิมที่เรากำหนด
อันนี้ อาจจะต้องใช้เวลาหน่อยครับ เพราะพอเราเปลี่ยนกลับมา  ถ้าเราจำไม่ได้แม่นจริงๆ  เพี้ยนแน่นอนครับ    ห้ามโกงด้วยการแอบดูวัดรอบนะครับ
ต้องใช้เฉพาะความรู้สึกที่เราจำเอาไว้แล้วเท่านั้น  ตรงนี้ถ้าเราทำบ่อยๆ ทำจนแม่น  อีกหน่อยเราก็ไม่ต้องเหลือบดูเข็มความเร็วเลยด้วยซ้ำ สามารถรู้ได้เลย ว่าเร็วเท่าไหร่
จะมีประโยชน์กับท่านที่ต้องเดินทางบ่อยๆ วิ่งทางยาวๆ แล้วชอบมีปัญหากับเจ้าหน้าที่  รวมไปถึง ท่านที่ชอบ"เล่นโค้ง" สปีดที่เราฝึกเอาไว้จนจำได้ จะทำให้เรารู้ครับว่า
ในแต่ละโค้งที่เข้าไป  ควรจะมีความเร็วพกเข้าไปด้วยเท่าไหร่ ถึงจะปลอดภัย

ValenDear:
เรื่องของ "ลมยาง"
    เรื่องของเรื่องคือ พฤหัสที่ผ่านมา กลุ่มวัยรุ่น(จริงๆแค่3คน) ไปแอบเซทอะไรนิดๆหน่อยๆกันที่สนามพีระเซอร์กิต พัทยา
เซทเสร็จ ก็ต้องมีการลองกันหน่อย ผลที่ได้ ตอนแรกออกมางงๆ รถออกอาการตุปัดตุเป๋ ไปลำบาก มีทั้งอันเดอร์ก่อน แล้วโอเวอร์สเตียร์ตาม   
ทีแรก เข้าใจว่าผิวแทรคลื่นเป็นพิเศษ เพราะตอนลงไปลอง สังเกตเห็นปูนขาวโรยไว้ในหลายๆโค้ง คาดว่ามีคราบน้ำมันปนด้วย และอากาศค่อนข้างมัวซัวหน่อย นึกขึ้นได้อีกที อ้าว ลืมเติมลมยาง  ตอนเซทรถวัดเอาไว้ค่อนข้างอ่อนไปนิด ประมาณ30ปอนด์เศษๆ แล้วทั้งเจ้าของรถและผมก็ลืมไปเลย มัวแต่อยากจะลองกัน
ตามปกติ คอนดิชั่นที่เราเคยซ้อม หรือวิ่งเล่น อุณหภูมิแทรคจะสูงหน่อย เพราะแดดที่พีระค่อนข้างแรง ทำให้อุณภูมิยางสูงตามขึ้นไปด้วย
พอเจอกับอากาศเย็นๆ ไม่มีแดด เราเลยลืมนึกข้อนี้ไป อ้ะ นึกขึ้นได้ก็เติมเข้าไปอีกหน่อย เป็นประมาณ 34ปอนด์ แล้วลงไปลองอีกที
อืมมม  คราวนี้ได้ผลครับ  รถออกอาการตามที่มันควรจะออก โดยที่อาการเหวอๆเสียวๆตอนแรกไม่มีให้สัมผัสอีกต่อไป  จบการเซท สบายใจ 
    ผมเลยอยากพูดถึง"ลมยาง"กันซะหน่อย ว่ามันมีความสำคัญทีเดียว ถ้าใช้ความเร็วสูงๆ ลมยางที่อ่อนหรือแข็งเกินไป ทำให้รถเกิดอาการแปลกๆได้
ลมยางที่อ่อนเกินไป ทำให้ตรงกลางหน้ายางหุบลง คือสัมผัสพื้นได้แค่ขอบด้านนอก/ด้านใน แก้มยางไม่ตึงเต็มที่ เลี้ยวทีก็แทบบจะหลุดจากล้อ
ลมยางแข็งเกินไป อันนี้ตรงข้ามกันอยู่แล้ว คือ ตรงกลางหน้ายางป่องเกินไป หน้าสัมผัสด้านนอก/ด้านใน แตะผิวถนนไม่เต็มที่ แก้มยางแข็งกระด้างเกินไปอีก
ลมยางที่พอดีๆ หน้าสัมผัสจะเต็มเม็ดเต็มหน่วย   หน้าสัมผัสที่ผมพูดถึง ไม่ใช่ขนาดความกว้างที่เราชอบเอามาคุยกันนะครับ
เช่นเราใส่ยาง 225/45/17  เรามักนึกว่า 225 คือขนาดหน้ากว้างของยาง  จริงๆมันคือส่วนที่กว้างที่สุด นั่นก็คือ วัดจากตรงแก้มยางสองฝั่ง
ถ้าจะวัดหน้ายางกันจริงๆ ต้องวัดกันที่ Footprint(รอยตีน) ตามศัพท์ทางรถแข่งเค้าว่ากัน 
ไอ้เจ้า Footprint นี่หละครับ คือตัวที่จะบอกว่า หน้าสัมผัสของยางนั้นๆ ทำงานเต็มประสิทธิภาพแค่ไหน ลมยางเองมีส่วนอย่างมากในเรื่องนี้ อย่างที่บอกไปแล้วครับ
จริงๆวิธีวัด Footprint ก็เป็นวิธีนึง แต่ถ้าจะวัดกันจริงๆ อาจจะต้องมีเครื่องมือเพิ่มเติมอีกหน่อย นั่นคือ ที่วัดอุณหภูมิพื้นผิว  เค้าเรียกว่าอะไร ผมก็ไม่ได้จำซะด้วย
แต่มันมีหน้าทีตามชื่อของมันหละครับ มีทั้งแบบเป็นแสงเลเซอร์ยิงเข้าไปในที่ที่เราจะวัด หรือประเภทมีปลายไว้ใช้แตะของที่จะวัด แต่หลักๆคือ มันจะบอกเลยว่า
อุณหภูมิของพื้นผิวนั้นๆ เป็นเท่าไหร่ 
ได้เจ้าตัวนี้มาเสร็จ ก็ลองได้เลยครับ  เอารถออกไปหวดซัก2-3รอบ(ในสนาม) วิ่งกลับเข้าพิท เอาปืนอุณภูมิยิงไปที่หน้ายาง วัดสามจุดครับ ทั้งนอก/กลาง/ใน
แล้วดูว่า อุณหภูมิที่ได้ ใกล้เคียงกันหรือไม่   ถ้าตัวเลขทั้งสามค่าไม่เพี้ยนกันมาก ก็คือจบ ลมยางและการเซทต่างๆถือว่าดี แต่ถ้าอุณหภูมิต่างกันชัดเจน เช่นตรงกลางหน้ายางร้อนกว่า นั่นคือ ลมแข็งไป  ถ้าตรงกลางเย็นกว่า นั่นคือ ลมอ่อนไป (อันนี้คร่าวๆนะครับ จริงๆจะมีเรื่องมุมล้อด้วย)
เราก็จัดการลมยาง จนได้ค่าที่พอดีตามที่เราต้องการ
ที่หลอกให้อ่านซะยาวนี่ไม่ใช่อะไรครับ จะบอกว่า บางที การใช้ยางราคาแพงๆ ที่เค้าว่ากันว่าสมรรถนะดีนั้น ตัวเราเองได้ใช้ตรงจุดนั้นจริงๆรึเปล่า?

ยางราคาเส้นละ 6-7000++ เราใช้จริงๆถึง3000มั้ย? คือ ไหนๆก็ลงทุนใช้รถขับสนุกๆ ใช้ยางดีๆแล้ว ก็ดูแลตรงนี้กันนิดนึง จะได้หนุกกว่าเดิมด้วย
ลมยางที่เพี้ยนมากๆ นอกจากทำให้ยางเสียหายแล้ว อาจทำให้เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์ หนักมากๆ อาจทำให้พาไปเจออุบัติเหตุด้วยซ้ำไป

ขอให้สนุกกับการเซทลมยางนะคร๊าบบบบ


ValenDear:
การฝึกในสมอง
    คนที่อาจจะคุ้นกับการทำงานของสมองของคนเราอาจจะพอรู้มาบ้าง ว่า หลังจากเวลาเราหัดทำอะไรซักอย่าง สมองของเราก็จะเริ่มสร้างความสามารถนั้น และ ค่อยๆพัฒนาสมองส่วนนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการพัฒนา ไม่ได้จำกัด อยู่แค่เฉพาะเวลาเราทำ แต่จะพัฒนาต่อเนื่อง  เวลาที่เราคิดถึงเรื่องนั้น หรือ แม้แต่ตอนที่เรานอนหลับด้วย
จากเรื่องของสมอง ก็ มาถึงเรื่องของกีฬาทั่วๆไป ซึ่ง จริงๆแล้ว ก็รวมไปถึงการฝึกขับรถด้วย คือการที่เราเก็บอะไรกับมาคิด พร้อมกับนึกภาพตาม ทำให้สมองของเราพัฒนาตามไปด้วย
วิธีการฝึก ก็คือ ให้เราพยายามคิดภาพ โดยละเอียด ของการทำอะไรบางอย่างที่เราต้องการฝึก คิดไปเรื่อยๆ วันละสิบนาที สิบห้านาที  แล้วพอไปทำจริงๆ ทุกอย่างมันจะออกมาดีเอง
ตัวอย่างจริง ดูได้จากอาจารย์อั๋น ถ้าใครได้ไปแทรคเดย์ที่นครชัยศรีมาก็คงเห็น  ผมว่า วันนั้นพี่อั๋นขับดีนะ ไม่ได้นั่ง แต่ดูอยู่ข้างนอกรถ  ดีขึ้นกว่าเดิม และ ไม่ค่อยพลาดเลย  ผมว่า ที่พี่อั๋นขับได้ดีทั้งๆที่ไม่ได้ไปซ้อมวิ่งสนามบ่อยๆ น่าจะเป็นเพราะทำการบ้านมาดีมากๆ  ครั้งที่แล้วที่ไปนครชัยศรีกัน ตอนนั้นไปช่วยอาจารย์นิชิ สอน โดยที่ผม ถ่ายวีดีโอทั้งนิชิ พี่อั๋น และ ผมเอง ขับรถผม อัดใส่ดีวีดี
ตัวผมเอง ทำวีดีโอเสร็จ ดูไปก็น่าจะหลายรอบ อาจจะสี่ห้ารอบมั้ง รวมกับดูรายละเอียด แบ่งเซ็กเตอร์ต่างๆของแต่ละคน จนสรุปออกมา ว่าแต่ละจุด ใครเร็วกว่าใคร ทำสรุปออกมาเป็นไฟล์เอ็กเซล แจกแจงเหตุผล ว่าใครเร็วตรงไหน เพราะอะไร  จบแล้ว ก็จบกันไป ส่งดีวีดีให้ผู้เกี่ยวข้อง หรือใครที่อยากได้ พร้อมกับไฟล์เอ็กเซลที่ทำสรุปเอาไว้  งานผมก็จบไป ไม่ได้กลับมาดูอีกแล้ว
ส่วนพี่อั๋น ได้ดีวีดีจากผมไป  ดูแล้วดูอีก  คิดแล้วคิดอีก  ผมไม่รู้ว่ากี่รอบ แต่ผมว่าเยอะมากๆ  คงต้องให้พี่อั๋นมาบอกเอง แต่ผมเดาว่า อาจจะห้าสิบรอบได้มั้ง  ดูแล้วคิด ดูแล้วคิด
จะเห็นได้ว่า จุดประสงค์ของผม กับ พี่อั๋น ค่อนข้างต่างกัน  ผมดูวีดีโอ เพื่อจะหาคำตอบ ว่า ตรงไหน ใครเร็ว เพราะว่าอะไร  ส่วนพี่อั๋น  เป็นการดูเพื่อพัฒนาจินตนาการในสมอง   จริงๆแล้ว จะว่าผมไม่พัฒนาสมอง ก็ไม่เชิง แต่ผมจะพัฒนาในเชิงที่ว่า ดูในวีดีโอแล้วจะรู้ทันที ว่าเร็วเพราะอะไร ช้าเพราะอะไร  ส่วนพี่อั๋น  จะพัฒนาไปในเชิงของการขับมากกว่า
จริงๆผมก็รู้นะ ว่าควรจะดูวีดีโอมากกว่านี้ แต่ว่า กว่าจะทำข้อมูลเสร็จ มันก็เอียนแล้ว เลยไม่ได้ดูมากเท่าที่ควร
เรื่องของการใช้จินตนาการเข้ามาช่วยในการฝึก สามารถเอาไปประยุกต์ใช้ได้กับอะไรก็ได้ ยิ่งถ้าเราจินตนาการได้ละเอียดมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้ผลมากขึ้น
เช่น ถ้าเราตั้งใจจะฝึกเรื่องเบรค เราก็ลองจินตนาการถึงเสียงเครื่อง แรงจี น้ำหนักเท้า เสียงยาง ภาพที่ตาเราเห็น ฯลฯ
ผมเคยอ่านมา มีนักแข่งบางคน เวลาเลี้ยวในทางที่มองไม่เห็นเพราะมีกำแพงบัง ในขณะที่กำลังเลี้ยว เค้ามองเข้ากำแพงเลย  ว่ากันว่า สมองเค้ากำลังจินตนาการถึงรูปแบบของโค้งทะลุกำแพงไป แล้วคำนวนว่าจะต้องขับยังไงให้ออกจากโค้งได้ดี

เรื่องของจินตนาการ มันมีความสำคัญมากกว่าที่ผมเคยคิด เรื่องนี้ ก็เอาไปใช้ได้กับอะไรหลายๆอย่างในชีวิตนะ  ถ้าเราคิดถึงมันอย่างจริงๆจังๆ วันนึง มันอาจจะเป็นจริงขึ้นมาได้จริงๆ
ไอ้การขับรถแข่งเนี่ย  ใครๆก็ทราบครับ ว่า จะเร็ว จะช้า อยู่ที่การฝึกซ้อม  ยิ่งซ้อมเยอะ ยิ่งดี แต่ที่สำคัญคือ การฝึกซ้อมที่ถูกวิธี
เมื่อก่อนเราเคยอ่านเจอคำว่า practice makes perfect   แต่สำหรับผม มันอาจจะไม่ใช่ครับ ผมยึดคำว่า
PRACTICE DOESN'T MAKE PERFECT, ONLY PERFECT PRACTICE MAKES PERFECT!!!
อย่างในกรณีที่ก้องพูดถึงคือ ผมได้ดูและทบทวนการขับจากดีวีดี ไม่ว่าจะเป็นที่อาจารย์มาซากิขับ หรือ ตัวผมขับ หรือก้องขับก็ตาม
ผมเอามาประมวลผล  ดูว่า ใครพลาดตรงไหน  พลาดเพราะอะไร แล้วทำยังไง ถึงจะแก้ไขสิ่งที่พลาดไม่ให้เกิดขึ้นอีก
จากที่ผมได้ดู อาจารย์มาซากิ แทบจะไม่พลาดเลย  ส่วนที่ผมขับเอาไว้ พลาดเต็มๆหลายโค้ง  จริงๆแล้วคือ แทบจะทุกๆโค้ง ที่ละนิดละหน่อย
ทำให้เวลาที่ผมทำได้ ห่างจากอาจารย์ 0.5 วิเต็มๆ!   ไอ้0.5 วิเนี่ย ไม่ใช่ว่าฟังแล้วบอกว่า แหม นิดเดียวเอง  ไม่ใช่นะครับ
การขับแบบจิมคาน่า หรือ time attack แบบนั้น จะ0.5 0.4 หรือ 0.001  ก็คือแพ้ครับ ไม่มีรอบให้เอาคืนแบบเซอร์กิต หรือการแข่งแบบอื่นๆ
เพราะฉะนั้น ผมต้องศึกษาอย่างละเอียด ว่า ทำไม รถคันเดียวกัน อาจารย์ขับ โดนมีผมนั่งไปด้วย(+75กิโล) ถึงทำได้เร็วกว่าผม ซึ่งไปคนเดียวถึง0.5 วิ
ผมถือว่า นั่นคือการบ้านของผมเลย แล้วการทำการบ้าน  จริงๆแล้ว ที่ถูกต้องคือ ผมต้องไปซ้อมที่สนาม  แต่โดยข้อเท็จจริงก็คือ  ไม่ได้ไป  แล้วจะทำยังไง?
วิธีที่ผมใช้ หลังจากประมวลความผิดพลาดของผมแล้ว ก็คือ การจินตนาการที่ก้องพูดถึงนี่หละ    บ่อยครั้งหลังจากที่ผมดูจบ ผมก็มานั่งหลับตา นึกถึงภาพสนาม
นึกถึงเสียง นึกถึงแต่ละโค้งอย่างละเอียด ว่ามีอะไรบ้าง รวมไปถึง นึกถึงแรงจี แรงกระทำที่ถนน  นึกเยอะไปหมด เพื่อให้ได้ข้อมูลที่มากสุด
แล้วผมก็นึกภาพว่ากำลังขับ  จะแอทแทคแต่ละโค้งยังไง จากโค้งแรกไปโค้งต่อไป ผมต้องทำอะไรบ้าง อาการรถ อาการยางเป็นไงบ้าง
พูดง่ายๆว่า นอกเหนือไปจากดูแผ่นเยอะ ผมมานั่งจินตนาการไม่น้อยไปกว่าการดูครับ
แล้วถามต่ออีกหน่อย ว่า จินตนาการไปแล้วได้อะไร  จะเหมือนไปซ้อมจริงๆรึเปล่า?
ต้องบอกว่า  การจินตนาการ  นอกจากทำให้เราเห็นภาพได้ชัดเจนแล้ว  ถ้าเราทำได้ดี ก็ไม่ต่างจากการที่ไปขับจริงๆมากนัก  อันนี้ หลายๆท่านอาจจะงง
อาจจะไม่เข้าใจนะครับ  ไว้ลองฝึกดู แล้วจะอ๋อแบบผม  แต่สำหรับผม วิธีนี้ ดีที่สุด ในกรณีที่ไม่ได้ไปฝึกที่สนามจริง

กลับมาที่ วัน trackday  หลังจากทั้งดูแผ่น ทั้งซ้อมในจินตนาการมานาน  ผมก็ได้ลองเก็บรายละเอียดไอ้ที่พลาดๆไป
ผลลัพท์  คือ น่าพอใจมากกกกกกกกกกก  เวลาที่ผมทำได้ แน่นอนว่าดีขึ้น แต่สิ่งที่ผมได้กลับมาคือ ผมแทบจะไม่พลาดเลย ทั้งๆที่ขับหลายคันแล้วแต่ละคัน อาการก็ไม่มีเหมือนกัน  ไล่ไปตั้งแต่รถของชาย หน้าหมู STI 2.5  รถของเอิ๊ก EVO VII  หน้าหมูขาวของทั่นประธาน และอีกหลายๆคันที่สอนไป
ไอ้การทำการบ้าน โดยการนึกภาพมาก่อน ทำให้ผมขับแต่ละคันได้เลย โดยไม่ต้องมาห่วงว่า โค้งไหนเป็นยังไงอีกต่อไปแค่ปรับตัวให้เข้ากับรถแต่ละคันเท่านั้นก็พอ

ValenDear:
UNDERSTEER
    คงไม่ต้องอธิบายกันมากนะครับ ว่าคืออะไร  อาการนี้เกิดขึ้นได้จากหลายๆสาเหตุด้วยกันครับ โดยเฉพาะ ซูบารุของเราๆท่านๆนี่หละ
รถที่มีอาการอันเดอร์เป็นพื้นฐาน ก็คือ รถบ้านๆที่มาจากโรงงาน เช่นรถขับหน้าทั่วไป รถขับ 4 ก็เป็นบ่อย สืบเนื่องมาจากการวางน้ำหนักส่วนใหญ่ไว้ด้านหน้ารถ
ลองนึกภาพตามนะครับรถสองแบบที่ว่า  รถขับหน้า วางเครื่องไว้ข้างหน้า ข้างหลังไม่มีอะไรเลย น้ำหนักเฉลี่ยหน้าหลัง แตกต่างกันค่อนข้างเยอะ
เวลาเลี้ยว หรือเข้าโค้ง น้ำหนักจะถูกถ่ายมาด้านหน้า  จากที่หน้าหนักอยู่แล้ว ก็จะหนักมากกว่าเดิมอีก 
ขับ 4 ก็ไม่เว้นเช่นเดียวกันครับ ถึงแม้ว่าจะมีอุปกรณ์การขับเคลื่อนไปช่วยถ่วงอยู่ด้านหลังบ้างแล้ว แต่ยังไงก็ยังออกอาการอันเดอร์ให้พบบ่อยๆ
แล้วทำไมทางผู้ผลิตถึงไม่ทำให้มันไม่อันเดอร์??  อันนี้ต้องอธิบายนิดนึงครับ   ว่าอาการอันเดอร์ อย่างที่ผมเคยบอกไว้ในหน้าแรกๆ ว่าเป็นอาการที่เป็นพบได้ง่าย
และแก้ไขง่ายที่สุด  กล่าวคือ  แก้ตามสาเหตุของการอาการ ดังที่ผมจะบอกในท่อนต่อไป   สรุปว่าเค้าทำมาเพื่อไม่ให้ลูกค้า ซื้อไปแล้วไปเจออาการโอเวอร์เสตียร์
ซึ่งแก้ไขได้ยากกว่า ต้องใช้ทักษะมากกว่านั่นเอง
เอาละฮะ  เข้าเรื่องดีกว่า ก่อนจะพล่ามไปมากกว่านี้    เจ้าอาการอันเดอร์เนี่ย  สาเหตุหลักๆของมัน ก็คือ การที่น้ำหนักจำนวนมากถูกถ่ายมายังด้านหน้ารถมายังล้อหน้า ซึ่งเป็นล้อที่ใช้สำหรับการบังคับทิศทางของรถ  เพราะฉะนั้น เมื่อเราเบรค  ยางคู่หน้าก็รับภาระในการเบรคไปส่วนนึงแล้ว
จะเหลือ traction (การยึดเกาะ) สำหรับเอาไว้เลี้ยวไม่มากนัก  ถ้ามาด้วยความเร็วไม่มาก  หรือ โค้งกว้างๆ ไม่ต้องหักเลี้ยวเยอะๆ ก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้ามาด้วยสปีดที่สูงเกินไป หรือ เบรคจนล้อล๊อค แล้วพยายามจะเลี้ยวด้วย อันนี้ก็คือ เลี้ยวไม่ได้แน่นอน เพราะยางเอง ใช้แทรคชั่นไปกับการเบรคจนหมดแล้ว
วิธีแก้ อันที่ง่าย และน่าโดนด่าที่สุดคือ  อย่ามาแรงเกินไปซิครับ  ฮ่าๆๆๆ ไม่ตลกนฮะ อันนี้เรื่องจริง  คนส่วนใหญ่ มักจะคิดว่า ซูบารุขับ4 ยังไงมันต้องไปได้สิวะ!
ผมกำลังจะบอกว่า  มันไปได้ครับ  แต่ก็ไปได้แค่สุดแทรคชั่นของมันเท่านั้น ถ้าเกินกว่านั้น  กระเด็น!
ผมจะแบ่งอาการอันเดอร์ออกเป็นสามแบบที่เข้าใจง่ายๆละกันนะครับ จะได้นึกภาพตามได้

1. อันเดอร์ช่วงเข้าโค้ง
แน่นอน  อันนี้ ก็เป็นตามที่ผมบอกไว้ข้างบน คือ มาเร็วไป แรงไป หรือ ใช้เบรคมากเกินไป  พอจะเริ่มเลี้ยว ก็ไม่เหลือแทรคชั่นให้ใช้เลี้ยวแล้ว
วิธีแก้ไข ก็บอกไปแล้วอีกว่า  อย่ามาแรงหรือเร็วเกินไปดิ  อ๊ะ  ไม่ใช่วิธีเดียวครับ  อีกวิธี ในกรณีที่เบรคจนล้อล๊อค หน้าแถจนยางหมดแทรคชั่นก็คือ

1.1  คลายเบรคออกเล็กน้อย เพื่อให้ยางเหลือแทรคชั่นเอาไว้เลี้ยวด้วยแล้วค่อยกดเบรคต่อ
1.2 คืนพวงมาลัย   ถ้าเราเบรคทั้งๆที่ล้อยังเลี้ยวอยู่ ยังไงก็เลี้ยวได้ยาก หรือเลี้ยวไม่ได้ ก็คืนพวงมาลัยออกมาหน่อย แล้วค่อยเบรคเพิ่มเมื่อล้อตรงแล้ว หลังจากความเร็วลดลง
เราค่อยเลี้ยวเพิ่มครับ
2. อันเดอร์กลางโค้ง
    อันนี้บางกรณี อาจต่อเนื่องมาจากอาการแรก  คือ หน้าไถมาแต่ไกล ตั้งแต่เข้าโค้งมาเลย  การแก้ก็บอกไปแล้วในข้อ 1 ครับกับอีกอย่างคือ เมื่อเลี้ยวได้แล้ว  ดันรีบปล่อยเบรค หรือรีบเดินคันเร่งเร็วเกินไป  ลองนึกภาพ(อีกแล้ว!) รถเราอยู่กลางโค้ง ปล่อยเบรคแรง น้ำหนักถ่ายกลับไปด้านหลัง-
อย่างรวดเร็ว ทำให้แทรคชั่นหาย หายนี่คือ หายจากด้านหน้า ไปอยู่ด้านหลังหมด  พูดง่ายๆ หน้ายกเยอะ  ทีนี้ก็ไม่มีแทรคชั่นมาช่วยเลี้ยวอีกละ มาดูวิธีแก้กันครับ
2.1 อย่ารีบปล่อยเบรค    การที่เรารีบปล่อยเบรค เป็นการถ่ายน้ำหนักแบบทันทีทันใด  ทำให้ล้อหน้าขาดแทรคชั่น เลี้ยวไม่ได้อีก   การปล่อยเบรค ผมพูดไปแล้วในบทต้นๆ
ถ้างง ลองไปอ่านดูอีกครั้งนะครับ  การปล่อยที่ดี คือ ปล่อยแล้ว ไม่มีการ shift หรือ jerk มากเกินไป  ปล่อยเนียนๆ ให้น้ำหนัก และ แทรคชั่นอยู่กับยางนานอีกหน่อย
2.2 เดินคันเร่งเนียนๆ   นี่ก็ต่อเนื่องมากจากข้อแรกครับ  ถึงแม้เราคลายเบรคได้เนียนแล้ว แต่ถ้า เรารีบเดินคันเร่ง หรือกระแทกคันเร่งแรงเกินไป
ก็กลายเป็นการถ่ายน้ำหนักมากไปอีก  แน่นอน อันเดอร์!  ทำให้มันนุ่มนวล และรวดเร็วครับ
3. อันเดอร์ตอนออกโค้ง    อ่า อันสุดท้าย ท้ายสุด  อันนี้ชัดเจนเลย คือ การรีบเดินคันเร่ง ทั้งๆที่ล้อยังไม่ตรง ยังไม่เข้าไลน์ หรืออะไรก็ตามที่ทำให้แทรคชั่นหายไป
3.1 คืนพวงมาลัยให้ถูกจังหวะ   ตอนออกโค้ง  ถ้าเราไม่คลายพวงมาลัยตามแทรคชั่น แน่นอนว่าเราเดินคันเร่งได้ไม่เต็มแน่นอนไลน์ที่เราใช้ออกจากโค้ง แม้กระทั่งการรีบเดินคันเร่ง(ใจร้อน)  หรือจุดที่มองผิด ก็ทำให้อาการอันเดอร์ตอนออกโค้งเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
สามกรณีนี้เป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้เสมอครับ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนก็ตาม  อ่านแล้ว ลองเอาไปคิดดู ว่าเราเคยเจอแบบไหนมาบ้าง วิธีแก้ไขก็ตามที่ผมบอก
ไม่ได้ให้ไปลองบนถนนนะครับอันนี้ เอาเป็นว่า รู้ไว้ใช่ว่าดีกว่า  ขอให้สนุกสนานกับการขับซูบารุคร๊าบบบ   

***ข้อควรระวังอีกข้อ ที่มักเจอบ่อยๆนะครับ คือ ยิ่งอันเดอร์ คนจะยิ่งเลี้ยวมากขึ้น ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ผิดเลย  ระวังด้วยนะครับ**

ValenDear:
ท่านั่งและการวางตำแหน่งเท้า
รถบ้าน ไม่ควรวางเท้าซ้ายคาไว้บนแป้นคลัทช์ ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง  อย่างแรกก็ตามที่แบงก์ว่าไว้แล้ว คือน้ำหนักเท้าจะกดลงบนแป้น
ไม่ว่าเราตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม    อีกอย่างที่คนมักมองข้าม ก็คือเรื่องของท่านั่งนี่หละ     ที่ผมพูดถึงท่านั่งเพราะว่ามันมีความสำคัญ
ท่านั่งที่ถูกต้อง ทำให้ควบคุมรถได้ง่าย   ไม่ว่าจะเป็นการจับพวงมาลัย ระยะห่างของแขน ขา สำคัญหมด  แต่รายละเอียด ผมว่าหลายๆท่านทราบ
และหลายๆท่านอาจจะยัง  แต่ผมขอพูดถึงเฉพาะไอ้เจ้าเท้าซ้ายเรานี่หละ  ว่าทำไมต้องอยู่บนพักเท้า
พูดถึงเบาะรถบ้านก่อนละกัน จะได้เข้าเรื่องได้   เบาะรถบ้านๆ  ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้ออะไรก็ตาม  เน้นความสบายเป็นหลัก  เมื่อเน้นความสบายเป็นหลัก
ไอ้ความกระชับแบบเบาะแข่งก็ย่อมมีน้อย   พอความกระชับมีน้อย  ถ้าวิ่งตรงๆคงไม่มีอะไร  แต่ถ้าต้องวิ่งผ่านโค้ง ไม่ว่าจะโค้งแคบ โค้งกว้าง รถย่อมมีแรงเหวี่ยง
แล้วเวลารถมีแรงเหวี่ยง ก็ตามที่บอกครับ  รถบ้าน เบาะสบาย ไม่เน้นกระชับ พอโดนเหวี่ยงๆ  โอกาสที่ตัวจะเลื่อน จะไถล สไลด์ไปข้างๆมีแน่นอน
ไอ้เจ้าเท้าขวาก็ต้องอยู่ที่คันเร่ง หรือเบรค ในเวลานั้นแน่นอน  เหลือเท้าซ้ายเท่านั้นเองที่พอจะยันกับพักเท้าเอาไว้เป็นหลักได้  แต่เผอิญว่า  เราดันเอาไปวางบนคลัทช์
ละจะเหลืออะไรมาเป็นหลักได้ละครับ?    ที่ตั้มเห้นในวิดิโอ  บ่อยครั้งที่นักแข่งคนนั้น นั่งบนเบาะแข่ง ก็อาจจะพอวางบนแป้นคลัทช์ได้ จะเพื่ออะไรก็แล้วแต่
แต่จริงๆก็ไม่ควรทำแบบนั้นอยู่ดี  รถแข่งทางเรียบ  ไม่ได้เปลี่ยนเกียร์กันบ่อยๆแบบแรลลี่ครับ ไม่จำเป็นต้องวางคาไว้ก็ได้
อ่ะ พูดถึงแรลลี่ต่ออีกหน่อย ไหนๆก็ว่ามาแล้ว   นักแข่งแรลลี่ชั้นนำเอง ก็ไม่วางเท้าบนแป้นคลัทช์เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเกียร์แบบรุ่นใหม่ๆ ไม่ใช้คลัทช์หรือเป็นแบบใช้คลัทช์ปกติ     แต่บางกรณีที่เค้าต้องวาง ก็ทำได้  เนื่องจากรถแรลลี่ ทุก SS ต้องมีการทำรถ ซ่อมรถกันตลอด  ฉะนั้น ถ้าชุดคลัทช์เสียหายจากกรณีอื่นๆ

นำร่อง

[0] ดัชนีข้อความ

[#] หน้าถัดไป

[*] หน้าที่แล้ว

Go to full version